อยากเปลี่ยนหลังคาบ้านใหม่ต้องรู้อะไรบ้าง

อยากเปลี่ยนหลังคาบ้านใหม่ต้องรู้อะไรบ้าง

อยากเปลี่ยนหลังคาบ้านใหม่ต้องรู้อะไรบ้าง

เวลาที่เราพักอาศัยคืออยู่ในบ้านหลังเดิมไปนาน ๆ เชื่อว่าหลายท่านน่าจะมีความคิดที่อยากจะรีโนเวทหรือปรับปรุงบ้านให้เป็นแบบรสนิยมที่ท่านต้องการในปัจจุบัน ซึ่งอาจจะแตกต่างไปจากรสนิยมในอดีตที่เคยชอบตอนที่สร้างบ้านใหม่ ๆ ซึ่งบ้านแต่ละส่วนก็มักจะมีจุดสังเกตหรือข้อควรระวังที่แตกต่างกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งการรีโนเวทหรือการเปลี่ยนหลังคาบ้านซึ่งเป็นหนึ่งในส่วนที่ใหญ่ที่สุดของตัวบ้าง ย่อมต้องเป็นจุดที่มีข้อควรระวังและข้อควรรู้ก่อนทำการเปลี่ยนหรือรีโนเวทมากเป็นพิเศษเช่นกัน บทความนี้จึงอยากจะมาให้ข้อมูลในสิ่งที่ท่านควรรู้ก่อนตัดสินใจเปลี่ยนหลังคาหรือรีโนเวทหลังคาใหม่

สิ่งที่ต้องรู้และระวังหากต้องการเปลี่ยนหลังคา

สิ่งแรกที่ท่านต้องรู้คือท่านต้องการจะทำอะไรกันแน่ระหว่างเปลี่ยนหลังคาหรือเปลี่ยนทรงหลังคา เพราะสิ่งสำคัญที่ต้องคำนึงถึงเกี่ยวกับหลังคามีด้วยกัน 2 ส่วนหลัก ๆ คือน้ำหนักและระยะแปของหลังคา
หากท่านต้องการเปลี่ยนตัวหลังคาไม่ว่าจะเป็นเปลี่ยนกระเบื้องใหม่เปลี่ยนสีหรือเปลี่ยนแบบ แต่ไม่ได้ต้องการเปลี่ยนทรงหลังคา หลังคายังคงเป็นทรงเดิม ระยะแปเท่าเดิม น้ำหนักใกล้เคียงของเดิม ตรงนี้ท่านสามารถปรึกษากับช่างและบริษัทผู้ผลิตสามารถเปลี่ยนได้เลยทันที เพราะการเปลี่ยนแบบนี้ไม่จำเป็นจะต้องรื้อหลังคาออกมาทั้งหมด

อยากเปลี่ยนหลังคาบ้านใหม่ต้องรู้อะไรบ้าง

แต่หากท่านต้องการที่จะเปลี่ยนทรงหลังคาไปเลย ท่านจำเป็นจะต้องรื้อหลังคาเก่าออกก่อนจากนั้นก็ทำการขึ้นโครงแล้วมุงหลังคาใหม่ ซึ่งหากเป็นวิธีนี้ท่านจำเป็นจะต้องปรึกษากับช่างหรือวิศวกรที่มีความรู้ความเชี่ยวชาญในด้านนี้โดยเฉพาะ แต่ในบทความนี้เราจะไม่ได้มาพูดถึงการเปลี่ยนหลังคาใหม่ทั้งหมด แต่จะมาพูดถึงการเปลี่ยนแค่ตัวหลังคามันจะเปลี่ยนทรงหลังคาเลย

ในการเปลี่ยนตัวหลังคาก็จะมีจุดประสงค์หลัก ๆ ด้วยกันทั้งหมด 2 จุดประสงค์ จุดประสงค์แรกคือต้องการเปลี่ยนเพราะหลังคาเก่ามันเก่าเกินไปอาจจะมีการรั่วซึมของน้ำทำให้ไม่สามารถอยู่อาศัยได้ และจุดประสงค์ที่ 2 คืออยากจะเปลี่ยนรสนิยมหรือเปลี่ยนรูปแบบหรือภาพลักษณ์ของตัวบ้าน โดยมีคำแนะนำหรือข้อควรระวังดังนี้

อยากเปลี่ยนหลังคาบ้านใหม่ต้องรู้อะไรบ้าง

1. การเปลี่ยนหลังคาเนื่องจากหลังคาเก่าสึกหรอและเก่าเกินไป

เมื่อใช้หลังคาไปซักระยะหนึ่งเจ้าของบ้านหลายท่านมักจะเจอปัญหาคล้ายกันคือ หลังคาที่เก่าแล้วไม่สามารถใช้งานได้อีกต่อไป อาจมีการหลุดร่อนแตกหักตามอายุการใช้งาน หรือมีการรั่วซึมของน้ำทำให้ฝ้าเพดานเกิดความเสียหายและอาจทะลุได้ในอนาคต

หากปัญหาของท่านเป็นการเปลี่ยนด้วยจุดประสงค์นี้ข้อแนะนำคือการนำหลังคา Metal Sheet มาปูทับหลังคาเดิมโดยที่ไม่จำเป็นจะต้องรื้อหรือเปลี่ยนหลังคา วิธีนี้จะช่วยให้ท่านสามารถยังอยู่อาศัยในบ้านได้ในขณะที่ทำงาน ไม่เกิดความเสียหายกับหลังคาฝ้าเพดานและตัวบ้าน อีกทั้งยังเป็นวิธีที่รวดเร็วและประหยัดงบประมาณได้อย่างมาก

2. เปลี่ยนชนิดของหลังคาโดยที่ยังคงรักษาทรงหลังคาเดิมเอาไว้

อย่างที่แจ้งไปข้างต้นว่าการมุงหลังคา เมื่อต้องการเปลี่ยนสิ่งที่สำคัญและต้องคำนึงถึงคือน้ำหนักและระยะแป หากต้องการเปลี่ยนชนิดกระเบื้องหลังคาก็จำเป็นจะต้องคำนึงถึง 2 ส่วนนี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเรื่องของน้ำหนักหากน้ำหนักมากจนเกินไปก็ไม่สามารถรับรองได้ว่าโครงหลังคาเก่าจะสามารถรับน้ำหนักของกระเบื้องแผ่นใหม่ที่นำมามุงได้หรือเปล่า นอกจากนี้ยังมีปัญหาเรื่องระยะมุมของการลาดเอียงหลังคา เพราะกระเบื้องแต่ละชนิดก็มีระยะมุงในการมุงหลังคาที่แตกต่างกัน

อยากเปลี่ยนหลังคาบ้านใหม่ต้องรู้อะไรบ้าง

ยกตัวอย่าง เช่น หากต้องการเปลี่ยนหลังคาจากกระเบื้องโมเนียไปเป็นกระเบื้องลอนคู่

สิ่งแรกที่ต้องคำนึงถึงคือเรื่องน้ำหนัก ซึ่งตรงนี้กระเบื้องลอนคู่มีน้ำหนักที่เบากว่ากระเบื้องโมเนียจึงผ่านในข้อแรก
ข้อที่ 2 คือระยะแปของกระเบื้อง กระเบื้องโมเนียต้องการระยะแปเพียง 30 เซนติเมตรเท่านั้น กระเบื้องลอนคู่ต้องการระยะแปประมาณ 1 เมตรซึ่งตรงนี้สามารถใช้ได้
และข้อที่ 3 ระยะมุมในการมุงหลังคา กระเบื้องโมเนียต้องการระยะมุมมากถึง 30 องศาแต่กระเบื้องลอนคู่ต้องการเพียงแค่ 12 องศาเท่านั้น ซึ่งข้อนี้ก็ผ่านเช่นกัน

จะเห็นว่าในการเปลี่ยนหลังคาเป็นกระเบื้องแบบใหม่จำเป็นจะต้องคำนึงถึง 3 ส่วนนี้เป็นหลักและตัวอย่างนี้ก็เป็นเพียงแค่การยกตัวอย่างในแบบที่คำนวณง่าย ๆ เท่านั้นแต่หากต้องการจะเปลี่ยนจริง ๆ จำเป็นจะต้องปรึกษาผู้เชี่ยวชาญเพื่อไม่ให้เกิดความเสียหายขึ้นในอนาคต

อยากเปลี่ยนหลังคาบ้านใหม่ต้องรู้อะไรบ้าง

สุดท้ายสิ่งที่สำคัญที่สุดที่ท่านจำเป็นจะต้องคำนึงถึงคือ หลังคาเป็นองค์ประกอบที่ใหญ่ที่สุดของตัวบ้าน การเปลี่ยนหรือการปรับปรุงอะไรเกี่ยวกับหลังคาก็มีโอกาสจะกระทบส่วนอื่นของตัวบ้าน ดังนั้นจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องดูแลและควบคุมอย่างใกล้ชิดจากผู้ที่มีประสบการณ์และมีความรู้ความเชี่ยวชาญในด้านนี้โดยเฉพาะ สุดท้ายหวังว่าข้อมูลทั้งหมดจากบทความนี้จะเป็นประโยชน์กับเจ้าของบ้านทุกท่านที่ ต้องการรีโนเวทบ้านใหม่ให้เป็นสไตล์หรือรูปแบบที่ท่านต้องการในอนาคต

ทำไมต้องใช้ประตูภายนอกผลิตภัณฑ์ของโพลีวูด

การที่เราจะเลือกประตูสำหรับใช้ภายนอกบ้าน เราควรคำนึงถึงปัจจัยหลายๆ อย่าง ไม่ว่าจะมีอายุการใช้งาน หรือแม้กระทั่งการป้องกันความชื้น ป้องกันปลวก แมลง รวมแม้กระทั่ง ความสวยงามที่จะเข้ากับตัวบ้าน
ปัจจุบันนี้ ประตูบ้านมีการผลิตขึ้นจากวัสดุที่หลากหลาย ไม่ว่าจะเป็น วัสดุธรรมชาติ อย่างไม้สัก ไม้เต็ง ไม้แดง  หรือไม่ว่าจะเป็น วัสดุทดแทนธรรมชาติ อย่างเช่น พลาสติก, uPVC , PVC , Fiberglass, Metal เราจึงต้องเลือกวัสุดที่เหมาะสมกับการใช้งาน ของบ้านเรา
ความต่างของประตู UPVC และ ประตูPVC
ประตูUPVC เป็นประตูPVC ที่วิธีการผลิตประตูต่างกันกับ ประตูPVC    ประตูUPVC จะเป็นประตูประกอบโดยมีโครงสร้างเป็นไม้หรือ PVC มีแกนภายในเป็นโฟมหรือวัสดุอื่นๆ เพื่อรับแรงแล้วปิดหน้าบานด้วยแผ่น PVC ที่ปั้มขึ้นรูปเป็นลายของประตู นำแผ่นPVCที่ได้มาติด ทั้ง 2 ด้านด้วยกาว ประตูUPVC จึงมีคุณสมบัติที่กันน้ำที่ผิวหน้าได้ดี มีสีในเนื้อวัสดุ โดยส่วนใหญ่แล้วจะเป็นสีขาว ผิวเป็นเงาเป็นมัน ทาสีไม่ได้ มักใช้เป็นบานประตูห้องน้ำหรือประตูภายนอกบ้าน
ทำไมต้องใช้ประตูภายนอกผลิตภัณฑ์ของโพลีวูด

ด้วยโครงประตู uPVC (Vinyl)ของโพลีวูด ที่ อัดแน่นด้วยโฟมโพลีสไตรลีนชนิดพิเศษ โครงไม้สังเคราะห์แข็งแรง ทนทาน ตลอดทั้งบาน   ทำให้ความหนาแน่นสูง สามารถป้องกันความร้อนและเสียงรบกวนได้ค่อนข้างจะดี  พร้อมด้วยการมีลวดลายให้เลือกที่หลากหลายเหมาะกับตัวบ้าน

 

คุณสมบัติพิเศษ
  • โครงสร้างประกอบด้วยโครงไม้สังเคราะห์ช่วยเสริมความแข็งแรง คงทน
  • ป้องกันความร้อนไม่ลามไฟ และ ป้องกันเสียงจากภายนอก
  • สามารถปรับแต่ง บากไสได้ไม่เกินข้างล่ะ 5 มม.
  • ผิวสัมผัสเป็นแบบผิวเสี้ยน สวยตลอดทั้งบาน
  • หมดปัญหาเรื่อง ปลวก มด และ แมลงมากวนใจ
  • กันแดด และ ป้องกันรังสี UV
  • สามารถใช้ได้ทั้งภายนอกและภายใน

หลังคาบ้านเลือกอย่างไรให้ได้มาตรฐานและมีคุณภาพ

หลังคาบ้านเลือกอย่างไรให้ได้มาตรฐานและมีคุณภาพ

หลังคาบ้านเลือกอย่างไรให้ได้มาตรฐานและมีคุณภาพ

ในการสร้างบ้านหรือที่อยู่อาศัยแต่ละครั้งแน่นอนว่าช่างหรือเจ้าของบ้านจะต้องใส่ใจในเรื่องของมาตรฐานการผลิตของวัสดุทุกชนิด โดยเฉพาะอย่างยิ่งวัสดุที่นำมาใช้ในการทำหลังคา เพราะหลังคาได้ชื่อว่าเป็นส่วนองค์ประกอบที่ใหญ่ที่สุดของตัวบ้าน หากเกิดปัญหาขึ้นกับหลังคาแล้วก็มีโอกาสทำให้ส่วนอื่นของบ้านเกิดปัญหาขึ้นตามมาเป็นลูกโซ่ได้เช่นกัน ในบทความนี้ผมจึงอยากนำข้อมูลเกี่ยวกับการเลือกหลังคาให้ได้คุณภาพและมาตรฐาน เพื่อให้มีอายุการใช้งานยาวนาน เลือกหลังคามาติดครั้งเดียวใช้ยาวไม่ต้องเปลี่ยนบ่อย ๆ ไม่ต้องเสียเงินเยอะ ๆ

มาตรฐานการผลิตของวัสดุมุงหลังคา

ที่หลายๆท่านน่าจะคุ้นหูคุ้นตากันอยู่แล้วนั่นคือ มอก. ซึ่งย่อมาจากมาตรฐานอุตสาหกรรม เป็นมาตรฐานเฉพาะประเทศไทยที่นิยมใช้กันอย่างมาก ซึ่งแน่นอนว่าหากวัสดุมุงหลังคาที่นำมาใช้ไม่ผ่าน มอก. ก็ไม่ควรจะนำมาใช้งานเด็ดขาด แต่นอกจากมาตรฐานของประเทศไทยแล้ว ทั่วโลกก็ยังมีมาตรฐานการผลิตอื่นๆที่เรียกว่าเป็นสากลและมีคุณภาพมากกว่า มอก. ไม่ว่าจะเป็น มาตรฐาน AS จากออสเตรเลีย มาตรฐาน ASTM จากอเมริกา หรือมาตรฐาน JIS จากฝั่งญี่ปุ่น

หลังคาบ้านเลือกอย่างไรให้ได้มาตรฐานและมีคุณภาพ

โดยมาตรฐานสากลเหล่านี้จะมีการตรวจสอบที่เข้มงวดและละเอียดมากกว่า มอก. ของประเทศไทย เนื่องจากเป็นมาตรฐานของพัสดุที่จะต้องส่งออกไปทั่วโลก ทำให้ต้องตรวจสอบคุณภาพเป็นอย่างสูงให้สามารถใช้งานได้กับสภาพอากาศแทบทุกทีบนโลก พูดง่าย ๆ ก็คือ ทนกว่า แข็งแรงกว่า ใช้งานได้ยาวนานกว่าและมั่นใจได้มากกว่า ว่าจะได้สินค้าดีมีคุณภาพ เพราะหลังคาคือที่สวนที่ต้องใช้งานอยู่ตลอดเวลา เกิดปัญหาแค่เพียงเล็กน้อยบนหลังคาก็มีโอกาสที่ปัญหานั้นจะส่งผลต่อส่วนอื่นของบ้านได้อย่างง่ายๆ ด้วยเหตุนี้การดูเรื่องมาตรฐานการผลิตของวัสดุจึงเป็นสิ่งสำคัญที่คุณจะต้องใส่ใจเป็นอย่างมาก

หลังคาที่ไม่ได้มาตรฐานก่อให้เกิดปัญหาอะไรกับบ้านของเราบ้าง

1. ถ้าการผลิตขึ้นรูปลอนไม่ได้มาตรฐาน
โดยปัญหานี้เกิดจากเครื่องมือหรือเครื่องจักรที่ไม่ได้มาตรฐาน ทำให้รูปลอนที่ออกมาไม่ได้มาตรฐาน เมื่อนำมามุงหลังคาและซ้อนทับกันจะทำให้ซ้อนทับไม่สนิท เมื่อซ้อนกันไม่สนิทก็มีโอกาสเกิดน้ำรั่ว แล้วส่งผลในเรื่องของปัญหาการใช้งานของฝ้า รวมถึงโอกาสที่จะเกิดไฟฟ้าลัดวงจร และเชื้อราต่าง ๆ ที่อาจสะสมอยู่บนฝ้าเพดาน

2. กระบวนการเคลือบไม่ได้มาตรฐาน
หากในการผลิตกระบวนการเคลือบไม่ได้มาตรฐานปัญหาที่จะเกิดตามมากับผู้ใช้งานเลยคือปัญหาของสนิมและการผุกร่อนที่เร็วกว่าที่ควรจะเป็น

หลังคาบ้านเลือกอย่างไรให้ได้มาตรฐานและมีคุณภาพ

3. เหล็กที่นำมาใช้ความหนาไม่ได้มาตรฐาน
เหล็กถือว่าเป็นอีกหนึ่งวัสดุหลักที่ใช้ในการขึ้นรูปหลังคา ตัดเหล็กผู้ผลิตออกมามีความหนาไม่ได้มาตรฐาน ก็จะส่งผลในเรื่องของความแข็งแรงของตัวหลังคาและอายุการใช้งานที่จะสั้นลงเป็นอย่างมาก ยังไม่นับรวมถึงปัญหาที่อาจเกิดขึ้นจากโอกาสของการแตกหักรั่วซึมที่มากกว่าหลังคาที่ความหนามีมาตรฐาน
ตอนนี้เป็นแค่ 3 ปัญหาหลัก ๆ ที่มีโอกาสเกิดขึ้นได้มากที่สุด หากนำวัสดุที่ไม่มีคุณภาพมาใช้ในการมุงหลังคา ซึ่งแน่นอนว่าปัญหาเหล่านี้ก็จะกลับมาหาตัวเราในอนาคตและไม่ใช่ปัญหาที่เราจะต้องมานั่งซ่อมหลังคา ปัญหาหลังคานำมาซึ่งปัญหาอื่น ๆ อีกมากมาย

หลังคาบ้านเลือกอย่างไรให้ได้มาตรฐานและมีคุณภาพ

สุดท้ายทั้งหมดที่กล่าวมาในบทความนี้แสดงให้เห็นถึงความสำคัญของมาตรฐานการผลิตที่จำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องใส่ใจดูแลและตรวจสอบให้ชัดเจน ว่าบริษัทผู้ผลิตที่เรากำลังจัดซื้อนั้นได้มาตรฐานหรือไม่ หากไม่ได้มาตรฐาน จำเป็นจะต้องเลือกบริษัทที่มีมาตรฐาน เพราะบ้านไม่ใช่แค่ที่อยู่อาศัยแต่บ้านเป็นแทบทั้งหมดของชีวิตคน ๆ หนึ่งเลยก็ว่าได้

คลิกติดต่อสั่งซื้อสินค้า

สินค้าแนะนำ

PU Foam VS PE Foam ต่างกันอย่างไร ใช้แบบไหนดีกว่า

PU Foam VS PE Foam ต่างกันอย่างไร ใช้แบบไหนดีกว่า

อีกหนึ่งปัญหาของคนที่อยู่บ้านมาจะเจอเหมือนกันนั่นคือ เรื่องปัญหาความร้อนในบ้าน ซึ่งเมื่อพูดถึงปัญหาความร้อนในบ้านสิ่งที่จะตามมานั่นคือ ฉนวนกันความร้อน พอพูดถึงฉนวนกันความร้อนก็จะเกิดความสับสนขึ้นระหว่าง PU โฟม และ PE โฟม ว่ามันต่างกันอย่างไร? ต้องเลือก PE หรือ PU ถึงจะเหมาะกับบ้านของเรา

PU Foam VS PE Foam ต่างกันอย่างไร ใช้แบบไหนดีกว่า

เมื่อพูดถึงฉนวนกันความร้อนสิ่งหนึ่งที่จะตามมานั่นคือหลังคาเมทัลชีท เพราะเป็นหลังคาที่แปะติดตัวฉนวนกันความร้อนมาในตัว สามารถหาซื้อได้ง่ายและเป็นที่นิยมในตลาด ดังนั้นในบทความนี้ผมจะขอพูดถึงตัวฉนวน PE และ PU ที่ติดอยู่กับหลังคาเมทัลชีทเท่านั้น ว่าทั้ง 2 ชนิดนี้ต่างกันอย่างไร เลือกใช้อย่างไร

PU Foam VS PE Foam ต่างกันอย่างไร ใช้แบบไหนดีกว่า

ฉนวน PE Foam

ฉนวน PE หรือ Polyethylene ลักษณะภายนอกจะเป็นแผ่นโฟมบาง ๆ หุ้มด้วยฟอยล์ทั้ง 2 ชั้น ซึ่งในการทำจะเป็นการขึ้นรูปโฟมแล้วรีดติดลอนมา การรีดลอนก็จะเป็นการใช้โฟมทาลงไปที่ตัวลอนแล้วติด PE ทับด้านบน

เรามักจะเห็นโฟมชนิดนี้ได้ตามโรงงานใหญ่ ๆ ที่ถูกสร้างมานาน ห้างสรรพสินค้าที่อยู่มานานแล้ว เนื่องจากเมื่อประมาณ 5-10 ปีก่อน ฉนวนชนิด PE เป็นโฟมชนิดเดียวที่อยู่ในตลาดราคาไม่สูงและสามารถติดตั้งได้ง่าย ส่วนโฟม PU ก็มีอยู่น้อยส่วนที่มีก็ราคาค่อนข้างสูงเนื่องจากเป็นนวัตกรรมใหม่

ข้อดีของ PE Foam คือ น้ำหนักเบา กันความร้อนได้ระดับหนึ่ง งานและติดตั้งง่าย แล้วที่สำคัญคือราคาค่อนข้างถูก แต่ก็จะมีข้อด้อยอยู่ตรงที่อายุการใช้งาน เพราะเมื่อใช้งานไปประมาณ 3-5 ปีจะเกิดปัญหากาวหลุดร่อน ทำให้ตัวโฟมหลุดร่อนออกมาเป็นแผ่น ๆ ส่งผลให้จะต้องทำการซ่อมแซมหรือเปลี่ยนฉนวนบ่อย ๆ

PU Foam VS PE Foam ต่างกันอย่างไร ใช้แบบไหนดีกว่า

ฉนวน PU Foam

ฉนวน PU หรือที่ย่อมาจาก Polyurethane Foam ซึ่งผลิตโดยการฉีดสารโพลิเมอร์ออกมา แล้วขยายตัวให้กลายเป็นโฟมเนื้อละเอียดสีเหลือง ๆ ฉีดออกไม้ให้หนาติดกับตัวหลังคาเมทัลชีท แล้วทำการปิดแผ่นฟอยล์ทับด้านหนึ่ง

คุณสมบัติการเป็นฉนวนหรือการกันความร้อนดีกว่า PE ค่อนข้างเยอะ แทบจะเป็นฉนวนที่ดีที่สุดสำหรับหลังคาเมทัลชีทในปัจจุบัน

โดยการใช้งานจะแบ่งเป็น 2 แบบหลัก ๆ
แบบแรกคือการฉีดติดเข้าไปกับหลังคาเมทัลชีทอย่างที่กล่าวไปตอนต้นและอีกแบบคือการฉีดโฟมคลุมไปกับหลังคาเก่า ซึ่งไม่ว่าจะเป็นรูปแบบงานแบบไหนก็เป็นงาน PU เช่นเดียวกัน ที่สำคัญที่สุดคือราคาของโฟมแบบ PU ถูกลงกว่าสมัยก่อนที่เพิ่งเริ่มผลิตเป็นอย่างมาก โดยเมื่อก่อนอาจจะตารางเมตรละเกือบ 1,000 แต่ปัจจุบันเหลือเพียงตารางเมตรละ 100 กว่าบาทถึง 200 เท่านั้นเอง

PU Foam VS PE Foam ต่างกันอย่างไร ใช้แบบไหนดีกว่า

แม้ราคาจะยังสูงกว่าแบบ PE แต่ด้วยคุณสมบัติที่สูงกว่าจึงทำให้ปัจจุบันการใช้ฉนวนแบบ PU แพร่หลายและเป็นที่นิยมมากยิ่งขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งงานบ้าน งานโรงรถหรืองานที่ไม่ได้มีขนาดใหญ่มากการใช้ PU ก็เหมาะสมแก่ราคา แต่หากเป็นงานที่มีขนาดงานค่อนข้างมาก พื้นที่เยอะ ๆ เช่น หลังคาโรงงาน หรือหลังคาห้างสรรพสินค้า ก็อาจจะไม่ได้ต้องการฉนวนระดับ PU ซึ่งจะทำให้งบประมาณค่อนข้างสูง แต่ใช้ฉนวนแบบ PE ก็เพียงพอต่อการใช้งานและงบประมาณก็ไม่ได้สูงจนเกินไป

ดังนั้นทั้ง PE และ PU ในปัจจุบัน ยังสามารถใช้ได้ทั้ง 2 ชนิด เพียงแต่จะต้องดูให้ดีว่าการใช้งานเหมาะกับฉนวนชนิดไหน ไม่มากก็อาจใช้ PU แต่หากเป็นงานใหญ่เนื้อที่เยอะ ใช่แค่ PE ก็พอแล้ว
ทั้งหมดนี้คือความแตกต่างและความเหมาะสมในการใช้งานของฉนวนทั้ง 2 ประเภท สามารถเลือกใช้ตามความเหมาะสมในงานของคุณได้เลย

คลิกติดต่อสั่งซื้อสินค้า

สินค้าแนะนำ

การเลือกใช้ประตูให้เหมาะกับจุดต่างๆในบ้าน

การเลือกใช้ประตูให้เหมาะกับจุดต่างๆในบ้าน

เมื่อพูดถึงประตูบ้าน อย่างน้อยก็คงอยากเลือกประตูสวย ๆ สักหน่อยละกัน แต่ ด้วยแต่ละจุดในบ้านมีความเหมาะสมในการเลือกใช้งานประตูที่ต่างกัน เราจึงต้องเลือกวัสดุประตูที่คู่ควรกับจุดที่ประตูอยู่
โดยประตูบ้านจะแบ่งได้อย่างง่าย ๆ 2 ประเภทดังนี้

การเลือกใช้ประตูให้เหมาะกับจุดต่างๆในบ้าน

ประตูนอกบ้าน : จะต้องมีความทนทานต่อแสดงแดดและฝน ไม่พังง่าย และมีคุณสมบัติแข็งแรง เพื่อป้องกันการงัดแงะโจรกรรม
ประตูภายในบ้าน : อาจจะไม่ต้องเลือกประตูที่ทนแดดทนฝนก็ได้ จะมีให้เลือกหลากหลายมากขึ้น หรือถ้าเป็นประตูห้องน้ำ ก็ควรเป็นประตูที่ไม่มีปัญหาความชื้น กันน้ำได้ดีนั่นเอง

เราจึงมีข้อมูลของประตูที่ทำมาจากวัสดุต่าง ๆ เพื่อเป็นส่วนประกอบในการเลือกใช้ประตูให้เหมาะสมกับจุดต่าง ๆ ในบ้านครับ

1.ประตูไม้จริง
คุณสมบัติ : มีความแข็งแรง คงทน อายุการใช้งานยาวนาน หากต้องการนำประตูไม้ไปใช้ติดตั้งภายนอก ควรใช้ประตูไม้ที่ทำจากไม้สัก เนื่องจากสามารถทนแดดทนฝนได้ดี ส่วนประตูไม้ที่ทำจากไม้เนื้อแข็ง ไม้เต็ง ไม่ควรติดตั้งไว้ภายนอกเพราะมักเกิดการพองตัว บิด งอ โก่ง เมื่อสภาพอากาศเปลี่ยน จึงเหมาะที่จะใช้ติดตั้งภายในเท่านั้น

การเลือกใช้ประตูให้เหมาะกับจุดต่างๆในบ้าน

2.ประตูไม้สังเคราะห์
คุณสมบัติ :เป็นประตูที่ผลิตจากไม้เนื้อแข็งผสมรวมกับพีวีซี บานประตูที่แข็งแรง ทนทาน กันน้ำได้ และมีผิวสัมผัสเหมือนไม้ สามารถกันปลวก ไม่ลามไฟ กันแรงกระแทกได้ดี และแช่น้ำได้ จึงสามารถนำบานประตูไม้สังเคราะห์ไปใช้ได้กับทุกห้อง อายุการใช้งานยาวนาน

3.ประตูไม้อัด
คุณสมบัติ : เป็นประตูที่มีโครงสร้างด้านในเป็นไม้แล้วปิดทับหน้าด้วยไม้อัด มีน้ำหนักเบา แต่ผุง่าย ไม่ทนต่อความชื้น และแสงแดด จึงไม่เหมาะสำหรับใช้ติดตั้งภายนอก

การเลือกใช้ประตูให้เหมาะกับจุดต่างๆในบ้าน

4.ประตูยูพีวีซี และประตูไวนิล
คุณสมบัติ : เป็นประตูพลาสติก กันน้ำที่ผิวหน้าได้ดี มีความแข็งแรง ทนทานต่อสภาวะแวดล้อมได้ดี ไม่ติดไฟ ดูแลรักษาง่าย ไม่ผุกร่อน ป้องกันเสียงรบกวนและป้องกันการรั่วซึมได้ดี แนะนำให้ใช้เป็นบานประตูห้องน้ำหรือประตูภายนอกบ้าน

5.ประตูพีวีซี
คุณสมบัติ : เป็นประตูที่ทำจากวัสดุสังเคราะห์ ไม่มีปัญหาเรื่องความชื้นและปลวก ไม่ผุ ไม่หด หรือบิดงอ แต่ไม่แข็งแรง บาง กรอบจากการโดนแสงแดดได้ และแตกหักง่าย ง่ายต่อการงัดแงะเพื่อการโจรกรรม เหมาะสำหรับการใช้ติดตั้งภายใน เช่น ประตูห้องน้ำ ห้องครัว ห้องนั่งเล่น สำหรับการใช้งานชั่วคราว งานที่ไม่ต้องการ ความแข็งแรงทนทาน

การเลือกใช้ประตูให้เหมาะกับจุดต่างๆในบ้าน

6.ประตูอะลูมิเนียม
คุณสมบัติ : ประตูอะลูมิเนียมจัดเป็นวัสดุที่มีคุณสมบัติไม่ก่อให้เกิดสนิม ทนฝน ทนแดด ทนทาน สามารถใช้ทดแทนไม้ เหล็ก และ พลาสติคได้ มีอายุการใช้งานยาวนาน เหมาะสำหรับการติดตั้งทั้งภายในและภายนอก

ทั้งนี้ในการเลือกใช้อุปกรณ์สำหรับทำประตูก็ขึ้นอยู่กับลักษณะการใช้งาน รูปแบบและการออกแบบของตัวบ้าน และรสนิยมของเจ้าของบ้านแต่ละท่าน สุดท้ายหวังว่าบทความนี้จะเป็นประโยชน์ต่อว่าที่เจ้าของบ้าน หรือผู้ที่ต้องการรีโนเวทบ้านในการตัดสินใจ

คลิกติดต่อสั่งซื้อสินค้า

สินค้าแนะนำ

อยากต่อเติมบ้านควรรู้ปัญหาและวิธีทำในการต่อเติมบ้าน

อยากต่อเติมบ้านควรรู้ปัญหาและวิธีทำในการต่อเติมบ้าน

สำหรับเจ้าของบ้านหลายท่านที่เพิ่งซื้อบ้านใหม่หรืออาจจะเพิ่งสร้างบ้านเสร็จ พออยู่ไปสักระยะนึงก็เริ่มมีความรู้สึกว่าพื้นที่รอบบ้านมีพื้นที่เหลือมากพอ อยากจะทำส่วนต่อเติมออกไปจากตัวบ้านเพื่อให้มีพื้นที่ใช้สอยในประโยชน์ต่าง ๆ เพิ่มมากขึ้น อาจจะทำเป็นโรงรถ ห้องครัว หรือห้องอื่น ๆ เพิ่มเข้ามา แต่ก็มักพบเจอปัญหาส่วนต่อเติมบ้านทรุดตัวและมีโอกาสเกิดความเสียหายให้กับตัวบ้าน วันนี้จึงมาบอกวิธีป้องกันและแก้ไขปัญหาบ้านทรุดตัว เพื่อให้เจ้าของบ้านที่ต้องการสร้างส่วนต่อเติมออกจากตัวบ้านใช้แก้ปัญหาและป้องกันตั้งแต่เนิ่น ๆ

อยากต่อเติมบ้านควรรู้ปัญหาและวิธีทำในการต่อเติมบ้าน

ปัญหาส่วนต่อเติมบ้านทรุดตัวเกิดจากอะไร

ปัญหาจากการทำส่วนต่อเติมบ้านจะมีด้วยกันหลัก ๆ 2 อย่าง

1. ก่ออิฐก่อปูนหรือทำส่วนต่อเติม DIY ออกไปเอง

การทำแบบนี้หลายครั้งเจ้าของบ้านก็ไม่ได้มีการตอกเสาหรือตอกเข็มลงไปใต้ดินเพื่อสร้างความมั่นคงให้กับส่วนต่อเติม ซึ่งตรงนี้เองทำให้เกิดปัญหาส่วนต่อเติมทรุดตัวเนื่องจากตัวน้ำหนักบ้านและตัวน้ำหนักของส่วนต่อเติมไม่สามารถค้ำยันกันได้ เมื่อน้ำหนักมากเกินไปก็เกิดการทรุดตัวหรือเกิดการพังทลายลงมา นับว่าเป็นปัญหาและเป็นอันตรายต่อผู้อยู่อาศัยเป็นอย่างมาก

อยากต่อเติมบ้านควรรู้ปัญหาและวิธีทำในการต่อเติมบ้าน

2. จ้างช่างมาก่อนส่วนต่อเติมออกไปจากตัวบ้าน

การจ้างช่างมาทำส่วนต่อเติมบ้านก็ไม่ได้แปลว่าส่วนต่อเติมจะไม่ทรุดตัวนะครับ ตัวบ้านเดี่ยวที่ถูกสร้างออกมาอาจจะเป็นบ้านที่สร้างจากแบบแปลนหรือบ้านจัดสรรที่ไปซื้อมา ต่างก็ได้รับการคำนวณเป็นอย่างดีว่าชิ้นส่วนแต่ละชิ้นส่วนของบ้านจะต้องมีน้ำหนักเท่าไหร่และรับน้ำหนักได้มากแค่ไหน ซึ่งแม้จะเป็นช่างแต่ถ้าไม่ได้ผ่านการคำนวณมาอย่างดีแล้วไปทำส่วนต่อเติมก็มีโอกาสจะทำให้เกิดการทรุดตัวได้อยู่ดี

ดังนั้นการทำส่วนต่อเติมจึงเป็นเรื่องที่ละเอียดอ่อนและสำคัญมาก แม้ส่วนต่อเติมจะมีการตอกเสาเข็มลงไปแล้วก็ตาม ก็ยังคงมีโอกาสที่จะเกิดการทรุดตัวและเสียหายได้อยู่ดี เพราะเสาเข็มนั้นก็ไม่ได้รับการคำนวณทางวิศวกรรมมาอย่างดี

แล้วแบบนี้ยังสามารถต่อเติมตัวบ้านได้หรือเปล่า หรือสร้างบ้านมายังไง ซื้อบ้านมาแบบไหนก็ต่อเติมไม่ได้เลย จริง ๆ จะพูดอย่างนั้นก็ไม่ถูกซะทีเดียว บทความนี้ผมจึงอยากจะมาพูดถึงวิธีแก้ปัญหาและการป้องกันอย่างได้ผล สำหรับเจ้าของบ้านที่ต้องการจะสร้างส่วนต่อเติมบ้านเพื่อใช้สอยเพิ่มเติม

วิธีการที่ดีที่สุดในการทำส่วนต่อเติมบ้านคือ ทำส่วนต่อเติมบ้านที่ต้องการให้แยกออกจากตัวบ้าน

อยากต่อเติมบ้านควรรู้ปัญหาและวิธีทำในการต่อเติมบ้าน

วิธีการนี้เป็นวิธีการที่ง่ายและดีที่สุดในการป้องกันบ้านทรุดตัวจากการต่อเติมบ้าน ขอโครงสร้างใหม่ขึ้นมาในบริเวณที่ต้องการ ทำผนังให้ติดกับตัวบ้านโดยตรง อาจจะใช้แผ่นโฟมมาติดกั้นระหว่างตัวบ้านและตัวโครงสร้างใหม่ ส่วนตัวโครงสร้างใหม่ก็ให้มีการตอกเสาเข็มเป็นเรื่องเป็นราว เพื่อไม่ให้เกิดการทรุดตัวของตัวมันเอง ซึ่งการทำแบบนี้จะทำให้บ้านไม่ต้องรับน้ำหนักจากตัวโครงสร้างใหม่มากเกินไป และสามารถคำนวณน้ำหนักด้านวิศวกรรมของโครงสร้างใหม่ได้ง่ายด้วย ซึ่งวิธีนี้เป็นการแก้ปัญหาบ้านทรุดตัวที่ดีที่สุดในด้านวิศวกรรม

ไม่ว่าอย่างไรสิ่งที่คุณต้องระวังและใส่ใจมากที่สุดคือการปรึกษาวิศวกรผู้เชี่ยวชาญ โดยเฉพาะถ้าสามารถปรึกษาวิศวกรที่ออกแบบบ้านของคุณได้จะยิ่งดี เพราะเขาสามารถบอกได้เลยว่าควรต่อเติมแบบไหนถึงจะทำให้บ้านไม่ทรุดตัวและปลอดภัยกับคนในครอบครัว

สุดท้ายการใช้ชีวิตในบ้านความสุขคือสิ่งสำคัญ แต่สำคัญเหนือกว่าความสุขคือความปลอดภัยของคนในบ้าน หวังว่าบทความนี้จะเป็นข้อมูลที่ทำให้คุณสามารถต่อเติมตัวบ้านออกไปใช้สอยได้อย่างมีความสุข และยังปลอดภัยกับตัวคุณและคนในบ้านเช่นกัน

 

เครดิตรูปภาพ
https://completemicropile.com/reviews/
https://www.infinitydesign.in.th/
https://www.win888.co.th/

 

คลิกติดต่อสั่งซื้อสินค้า

สินค้าแนะนำ

Original price was: ฿550.00.Current price is: ฿510.00.
Original price was: ฿450.00.Current price is: ฿425.00.
Original price was: ฿350.00.Current price is: ฿340.00.
Original price was: ฿180.00.Current price is: ฿170.00.
Original price was: ฿180.00.Current price is: ฿170.00.
Original price was: ฿90.00.Current price is: ฿85.00.

ฝ้าเพดานมีปัญหาแก้ยังไงให้ใช้ได้ระยะยาว

ฝ้าเพดานมีปัญหาแก้ยังไงให้ใช้ได้ระยะยาว

ฝ้าเพดานไม่ว่าจะเป็นฝ้ายิปซั่มหรือไฟเบอร์ซีเมนต์ เมื่อใช้ไปซักระยะหนึ่งหลายคนก็มักจะพบเจอปัญหาเดียวกัน นั่นก็คือ ใช้ไปซักระยะหนึ่งจะมีปัญหาคราบ สกปรกเป็นฝุ่น หรือแม้กระทั่งแผ่นไฟเบอร์ซีเมนต์ที่เวลายกก็จะมีการย้วยแตกหักเสียหาย จะแก้ไขปัญหาได้อย่างไรโดยในบทความนี้ผมจะพูดถึงปัญหาการใช้ฝ้าภายในเป็นหลัก ไม่ว่าจะเป็นฝ้ายิปซั่มหรือไฟเบอร์ซีเมนต์

ฝ้าเพดานมีปัญหาแก้ยังไงให้ใช้ได้ระยะยาว

ปัญหาที่เกิดจากการใช้งานฝ้ายิปซั่ม

สิ่งที่หลายบ้านมักจะเจอและเป็นปัญหาปวดหัวสำหรับเจ้าของบ้านเลยคือการใช้ฝ้ายิปซั่มเมื่อผ่านเวลาเหลืออายุการใช้งานไปซักระยะหนึ่ง จะเกิดคราบสกปรกที่เกิดจากการโดนน้ำหรือไอน้ำต่างๆ หรือปัญหาฝ้าตกท้องช้างที่จะนำมาซึ่งปัญหาฝุ่นภายในบ้านเพราะตัวฝ้ายเองก็ทำมาจากผงยิปซั่ม

ซึ่งนี้เองก็เป็นปัญหากวนใจ ที่เจ้าของบ้านหลายๆท่านมักจะเจอหลังจากใช้งานฝ้ายิปซั่มไปซักระยะหนึ่ง แต่ถ้าจะเปลี่ยนมาใช้ไฟเบอร์ซีเมนต์ หรือสมาร์ทบอร์ด เองก็จะมีปัญหาอื่น ๆ ตามมาเช่นกันนั่นคือ แม้ไฟเบอร์ซีเมนต์จะเป็นวัสดุที่แข็งแรงทนทาน แต่ปัญหาที่มักตามมาเลยคือความเปราะ แตกง่าย ยิ่งขึ้นรูปเป็นแผ่นบางๆ สำหรับการทำฝ้าเพดานยิ่งทำให้เปราะ แตกง่ายเวลาเจาะรู หรือยิ่งเป็นเพดานก็จะทำให้มุมของสมาร์ทบอร์ดแตกออกมา จึงทำให้การใช้ไฟเบอร์ซีเมนต์หรือสมาร์ทบอร์ดในการทำฝ้าเพดานไม่ได้รับความนิยม

ฝ้าเพดานมีปัญหาแก้ยังไงให้ใช้ได้ระยะยาว

เครดิตภาพ SCG

สมาร์ทบอร์ดนวัตกรรมใหม่
ด้วยจุดเด่นซึ่งคือความแข็งแรงทนทานของสมาร์ทบอร์ดนี่เองทำให้มีการพัฒนาสมาร์ทบอร์ดมากขึ้น และด้วยเทคโนโลยีปัจจุบัน สมาร์ทบอร์ดรุ่นซุปเปอร์บอร์ดของ SCG ความหนาขนาด 4-6 มม. ซึ่งถูกผลิตด้วยเทคโนโลยี Super โมเลกุลสร้างความยึดเหนี่ยวในระดับโมเลกุล ซึ่งเมื่อเพิ่มความยึดเหนี่ยวระดับโมเลกุลแล้วเทคโนโลยีนี้จะช่วยแก้ปัญหาเรื่องความเปราะ แตกง่าย จากเดิมที่แค่ยกขึ้นคนเดียวก็มีโอกาสแตกหักแล้ว สมาร์ทบอร์ดรุ่นใหม่ของ SCG สามารถยก 2 คนได้อย่างง่ายๆ ไม่หักง่าย แข็งแรงขึ้นไม่ย้วยยิงตะปูแล้วไม่แตก

ที่สำคัญคือ เวลายิงแผ่นสมาร์ทบอร์ดขึ้นเป็นฝ้าเพดานให้ติดกับโครง สามารถยิงห่างจากตัวโครงได้ในระยะแค่ 1-2 เซนติเมตร ทำให้เก็บงานง่ายขึ้นสวยงามมากขึ้น ซึ่งตามปกติแล้วปัญหานี้เป็นปัญหาที่ช่างมักจะไม่ชอบและกวนใจอยู่เสมอ เพราะปกติแค่ยิงตะปูเข้าไปหรือเจาะเข้าไปแผ่นสมาร์ทบอร์ดก็จะแตก หรือไม่ถ้าเจาะก็จะกลายเป็นรูขนาดใหญ่ทำให้รูนั้นไม่สามารถใช้ได้และ อาจต้องมีการเปลี่ยนบ่อยครั้งทำให้เป็นปัญหาเรื่องค่าใช้จ่ายระยะยาวของเจ้าของบ้าน ทำให้สมาร์ทบอร์ดปกติไม่เป็นที่นิยม

ฝ้าเพดานมีปัญหาแก้ยังไงให้ใช้ได้ระยะยาว

สรุปข้อดีของแผ่นสมาร์ทบอร์ดซุปเปอร์บอร์ดของ SCG

เนื่องจากเป็นแผ่นไฟเบอร์ซีเมนต์ทำให้มีความแข็งแรงทนทาน ใช้ทำเป็นฝ้าเพดานแล้วฝ้าไม่ย้วย ยิงแล้วขอบไม่แตกขอบไม่ทะลุ ทนชื้น ทนน้ำ ไม่เป็นคราบ ที่สำคัญที่สุดคือเนื่องจากเป็นสมาร์ทบอร์ดซึ่งไม่มีส่วนผสมของใยหิน ทำให้ไม่ต้องกังวลเรื่องปัญหาปลวก

ซึ่งเป็นประโยชน์กับทั้งตัวเจ้าของบ้านและช่าง เพราะช่างเองก็ทำงานง่ายจบงานเร็วไม่ต้องยุ่งยาก สำหรับตัวเจ้าของบ้านเองก็ได้ของดีในงบประมาณที่ไม่บานปลาย เก็บงานง่าย งานเรียบร้อยสามารถใช้ได้ในระยะยาว

เพราะการแก้ปัญหาฝ้าเพดานที่ดีที่สุดคือการเลือกวัสดุในการทำฝ้าเพดานที่ดีและเป็นวัสดุที่ถูกต้องมาตั้งแต่ต้น ถ้าตอนนี้คุณกำลังมีปัญหาฝ้าเพดานที่เกิดจากแผ่นยิปซั่ม ก็สามารถพิจารณาฝ้าเพดานโดยใช้วัสดุสมาร์ทบอร์ดรุ่นซุปเปอร์บอร์ดของ SCG สำหรับเปลี่ยนฝ้าเพดานครั้งถัดไปก็ได้

คลิกติดต่อสั่งซื้อสินค้า

สินค้าแนะนำ

ทำบ้านใหม่ ติดหน้าต่างยังไง ถึงจะสวยงาม

ทำบ้านใหม่ ติดหน้าต่างยังไง ถึงจะสวยงาม

พูดถึงการสร้างบ้านแล้ว เราก็มักจะได้ยินคำว่า “ประตูหน้าต่าง” กันใช่ไหมครับ วันนี้ผมเลยพามาชวนคุยเกี่ยวกับหน้าต่าง ทุกคนที่กำลังอยากจะออกแบบบ้านหรือกำลังจะสร้างบ้านใหม่ ก็ควรรู้ในการเลือกหน้าต่างและติดตั้งหน้าต่าง เอาไว้คุยกับช่างและสิ่งแรกที่ต้องรู้คือ หน้าต่างมีทั้งหมดกี่แบบ

ถ้าพูดถึงหน้าต่าง ที่เราเห็นกันทั่วๆ ไปก็จะมีหลักๆ ด้วยกัน 5 แบบ

ทำบ้านใหม่ ติดหน้าต่างยังไง ถึงจะสวยงาม

1.หน้าต่างบานเปิด
นี่จะเป็นรูปแบบที่เห็นได้บ่อยที่สุด เส้นหน้าต่างบ้านหรือโรงเรียนหรือสถานที่ราชการต่างๆ ส่วนใหญ่ก็จะใช้หน้าต่างบานเปิด เป็นแบบที่สามารถเปิดบานออกมาได้แบบง่ายๆอาจจะมีกลอนล็อคหรือกุญแจล็อคก็ได้

2.หน้าต่างบานเลื่อน
นี่ก็จะเป็นอีกแบบที่พบเห็นได้ทั่วไป โดยเฉพาะอาคารที่มีการติดแอร์ก็จะมีการใช้หน้าต่างบานเลื่อนกันอย่างมาก ลักษณะก็จะเป็น หน้าต่าง 2 บานอาจจะเป็นบานกระจกหรือบานไม้ ที่สามารถเลื่อนออกจากกันได้ ในแนวขนาน

3.หน้าต่างบานกระทุ้ง
หน้าต่างแบบนี้จะเป็นประเภทที่ไม่สามารถเปิดได้เต็มบาน จะใช้ก้านกระทุ้งเปิดออก ส่วนใหญ่จะเปิดได้เพียงประมาณครึ่งบานเท่านั้น มักพบเห็นได้ตามห้องน้ำบันได หรือตามตึกทั่วไปก็พบเห็นได้

4.หน้าต่างบานเฟี้ยม
หน้าต่างแบบนี้จะเห็นได้บ่อยๆตามห้องแอร์ต่างๆ ลักษณะก็จะเหมือนกับประตูบานเฟี้ยม เป็นการนำวัสดุและหลายชิ้นมาต่อกันแบบสลับฟันปลา สามารถพับเข้าหากันได้

ทำบ้านใหม่ ติดหน้าต่างยังไง ถึงจะสวยงาม

5.หน้าต่างบานติดตาย
เป็นหน้าต่างที่เป็นเพียงกระจกกั้นอย่างเดียวไม่สามารถเปิดได้ มักพบกันในบ้านหรืออาคารที่ไม่ต้องการให้บริเวณจุดนั้นสามารถเปิดออกไปได้ หรืออาจพบได้ในตึกสูงบริเวณห้องจัดเลี้ยง เพื่อป้องกันอันตรายเบื้องต้นสำหรับผู้ที่จะเกิดอุบัติเหตุ

มาต่อกันที่คำถามที่ว่าแล้วหน้าต่างควรสูงจากพื้นเท่าไหร่ ถึงจะสวยงาม
ความสูงมาตรฐานของหน้าต่าง วัดจากพื้นห้องถึงขอบวงกบล่าง ควรสูงประมาณ 80-90 cm ซึ่งเป็นความสูงที่พอดีที่เราสามารถวางตู้เล็กๆหรือชั้นวาง หรือโต๊ะทำงานที่มีความสูงไม่มากใช้สำหรับนั่งทำงานทั่วไป ซึ่งความสูงประมาณนี้จะทำให้เฟอร์นิเจอร์เหล่านั้นไม่เกินวงกบล่างขึ้นมา ซึ่งหากเกินขึ้นมาก็จะทำให้การตกแต่งห้องไม่สวยงาม

ส่วนขอบวงกบด้านบน โดยทั่วไปช่างผู้ออกแบบจะออกแบบให้วงกบบนเสมอกับวงกบบนของประตู ก็จะอยู่ที่ประมาณ 205 ถึง 210 cm เพื่อให้ออกแบบมาแล้วดูสวยงาม มีอัตราส่วนที่เท่ากันทั้งประตูและหน้าต่าง

ทำบ้านใหม่ ติดหน้าต่างยังไง ถึงจะสวยงาม

แต่ทั้งนี้ทั้งหมดก็ขึ้นอยู่กับผู้ที่ต้องการจะออกแบบหรือเจ้าของบ้านว่าอยากให้บ้านออกมาลักษณะแบบไหน บางคนอาจจะชอบหน้าต่างเล็กๆ หรือบางคนอาจจะชอบหน้าต่างสูงๆ หรือ บางคนอาจจะสูงจากพื้นเพียงแค่ 10 ถึง 20 เซนติเมตร ส่วนความยาวก็ทอดสูงขึ้นไปจนถึงฝ้าเพดานเลยก็ได้ ยิ่งหน้าต่างยิ่งสูงหรือบานใหญ่ ก็จะยิ่งราคาแพง แต่เราก็ได้บ้านที่มีความความโปร่ง และ ดูสบายตา ทั้งหมดนี้ขึ้นอยู่กับรสนิยมของเจ้าของบ้านและกำลังทรัพย์ที่มี

คลิกติดต่อสั่งซื้อสินค้า

สินค้าแนะนำ

ข้อสังเกตในการเลือกหลังคาบ้าน

หลังคาบ้านติดผิดชีวิตเปลี่ยน ข้อสังเกตในการเลือกหลังคา

การเลือกหลังคาบ้าน

สวัสดีครับผู้อ่านทุกท่าน ถ้าพูดถึงการสร้างบ้านหลังหนึ่งให้สำเร็จแล้ว 1 ส่วนประกอบสำคัญของบ้านที่จะไม่พูดถึงไม่ได้เลยคือ หลังคาบ้านนั่นเองครับ
หลังคาบ้านเรียกว่าน่าจะเป็นส่วนประกอบของบ้านที่โดดเด่นและเห็นได้ชัดที่สุดจากนอกตัวบ้าน และที่สำคัญเป็นอีกหนึ่งจุดของบ้านที่ท่านจำเป็นจะต้องให้ความสำคัญเป็นอย่างยิ่ง หากช่างของท่านที่ติดหลังคาบ้านออกมาไม่ดีหรือช่างทำงานไม่เรียบร้อย มันจะนำพามาซึ่งปัญหาอีกหลายๆปัญหาที่จะเกิดขึ้นกับบ้านของท่าน

ดังนั้นในการติดตั้งหลังคานั้น สิ่งที่ควรคำนึงถึงมากที่สุดอาจไม่ใช่เรื่องดีไซน์ หรือรูปแบบความสวยงาม(แน่นอนว่าไม่ใช่ว่าความสวยงามไม่สำคัญ) แต่สิ่งที่ควรคำนึงถึงที่สุดเป็นอันดับแรก คือมาตรฐานของตัวหลังคาที่ท่านกำลังจะให้ช่างมาติดตั้ง เพราะหลังคาถือเป็นส่วนที่ใช้งานเยอะที่สุด ต้องเจอกับสภาพอากาศในทุกๆ วัน หากวัสดุและการติดตั้งไม่ได้มาตรฐาน อาจส่งผลให้ “ทุกอย่างที่อยู่ใต้หลังคาบ้าน” เกิดความเสียหายหรือเกิดปัญหาขึ้นได้อีกมากมายตามมา ซึ่งบางปัญหาอาจจะทำให้ท่านต้องเสียเงินหรือมีค่าใช้จ่ายมากกว่าค่าติดตั้งหลังคาให้เนี๊ยบ ให้ดี มีมาตรฐานด้วยซ้ำไป

ก่อนจะไปกันต่อ ผมว่าเรามารู้กันหน่อยดีกว่าว่าหลังคาบ้านที่ไม่ได้มาตรฐานอาจนำพาบ้านของท่าไปสู่ปัญหาอะไรบ้าง

การเลือกหลังคาบ้าน

3 ปัญหาใหญ่ๆ ที่อาจเกิดขึ้นหากหลังคาไม่ได้มาตรฐาน

  1. การติดตั้งรูปลอนที่ไม่ได้มาตรฐาน
    อาจเป็นการติดตั้งหลังคาลอนที่มีลักษณะโค้ง แต่การติดตั้งไม่ได้มาตรฐาน อาจมีการติดไม่สนิท มีการเกยกัน ทำให้น้ำอาจซึมหรือรั่วเข้าสู่ตัวฝ้าเพดาน
  2. การเคลือบที่ไม่ได้มาตรฐาน
    เนื่องจากหลังคาบ้านที่เป็นหลังคาโลหะ หากการเคลือบผิวหลังคาไม่ได้มาตรฐาน สิ่งที่จะตามมาแน่นอนคือการเปราะ แตก
  3. ความหนาที่ไม่ได้มาตรฐาน
    ทั้ง 3 ปัญหาที่กล่าวมา มักจะนำไปสู่ปัญหาที่ดูเหมือนจะเล็กนั่นก็คือหลังคารั่วหรือน้ำซึม แต่ท่านรู้ไหมว่าปัญหาเล็กๆอย่างหลังคารั่ว จะนำมาซึ่งปัญหาที่ใหญ่จนท่านแก้ไขได้ยาก ไม่ว่าจะเป็น

การเลือกหลังคา

  • เชื้อราที่อาจจะขึ้นอยู่บนฝ้าแล้วอนาคตอาจจะลามลงมาถึงตัวบ้าน
  • ความชื้นอาจจะทำให้เกิดไฟฟ้าลัดวงจรซึ่งแน่นอนปัญหาอาจจะไม่ได้จบแค่ไฟตกแต่อาจจะเกิดอันตรายมากขึ้นกับสมาชิกในครอบครัว
  • ความสกปรกความหมักหมมที่เกิดจากน้ำขังบนตัวฝ้า อาจดึงดูดสิ่งมีชีวิตที่ท่านไม่ต้องการให้อยู่ในบ้าน ไม่ว่าจะเป็นหนูแมลงสาบหรือแมลงมีพิษต่างๆ

ดังนั้นท่านจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องพิถีพิถันในเรื่องของการติดตั้งหลังคา ซึ่งโดยปกติแล้วท่านจำเป็นจะต้องดูที่มาตรฐานอุตสาหกรรมของหลังคานั้นๆ ผมแนะนำว่าให้ทานเลือกที่มาตรฐาน มอก.หรือมาตรฐานสากล

การเลือกหลังคา

ซึ่งมาตรฐานสากลที่เป็นที่นิยม ส่วนใหญ่ก็จะเป็นมาตรฐานออสเตรเลีย สหรัฐอเมริกา หรือญี่ปุ่น เนื่องจากทั้งสองประเทศนี้ต้องเจอสภาพอากาศที่แปรปรวนอยู่เสมอ หากท่านสามารถเลือกหลังคาที่มีมาตรฐานเหล่านี้ได้ ก็จะทำให้หลังคามีสภาพคงทนแข็งแรง และมีอายุการใช้งานที่ยืนยาวเหมือนกับตัวบ้าน บ้านเราซื้อครั้งเดียวแต่อยู่ทั้งชีวิต เพราะฉะนั้นเลือกสิ่งที่ดีที่สุดให้บ้านและครอบครัวเพื่อจะได้ไม่เกิดปัญหาต่างๆตามมา

คลิกติดต่อสั่งซื้อสินค้า

สินค้าแนะนำ

สร้างบ้านใหม่ฝ้าเพดานควรสูงเท่าไหร่ดี?

สร้างบ้านใหม่ฝ้าเพดานควรสูงเท่าไหร่

ความสูงของฝ้าเพดานมีความสำคัญต่อตัวบ้านไม่ต่างอะไรจากชนิดของฝ้าเพดานที่นำมาติด เพราะความสูงของฝ้าเพดานส่งผลโดยตรงต่อจิตใจและความรู้สึกของคนที่อยู่ในบ้าน แคบเกินก็มีผล สูงเกินก็มีผลเช่นกัน แต่อย่างไรก็ดีการเลือกความสูงของฝ้าเพดานก็ยังคงขึ้นอยู่กับความพอใจส่วนบุคคลของผู้ที่ออกแบบและผู้ที่เป็นเจ้าของ แต่ในทางกฎหมายก็มีการกำหนดขั้นสูงของฝ้าเพดานเอาไว้คร่าวๆ แล้ว ซึ่งความสูงมาตรฐานที่เหมาะสมสำหรับห้องแบบทั่วไปอยู่ที่ 2.4 เมตร

สร้างบ้านใหม่ฝ้าเพดานควรสูงเท่าไหร่

ซึ่งตัวเลข 2.4 เมตร นี้ มีเหตุผลมาจากความสูงของประตูจะ ที่จะอยู่ที่ประมาณ 2 เมตรเศษๆ จากนั้นก็เว้นช่องว่างจากประตูขึ้นไปอีกเล็กน้อย สำหรับตกแต่งต่างๆ หรือติดเครื่องปรับอากาศ จึงเป็นที่มาของตัวเลข 2.4 เมตร

แต่อย่างไรก็ดีความสูงก็ขึ้นอยู่กับความพอใจบางคนอาจจะติดฝ้าเพดานดันสูงขึ้นไปถึง 2.5 ถึง 2.8 เมตร และแน่นอนว่าการออกแบบให้มีฝ้าเพดานสูงๆ ก็มีข้อดีและข้อจำกัด

ข้อดีและข้อจำกัดของการติดฝ้าเพดานสูง

สำหรับบางคนอาจจะรู้สึกว่าอยากได้ห้องที่ให้ความรู้สึกโปร่งโล่ง จึงอยากจะติดฝ้าเพดานสูงอาจจะเป็น 2.6, 2.8 หรืออาจจะถึง 3 เมตร เลยก็ได้ ซึ่งแน่นอนว่าข้อดีก็คือฟ้าที่สูงจะให้ความรู้สึกที่โปร่งโล่ง ดูสวยงาม แต่ก็มีขอจำกัดที่ต้องคำนึงถึงก็คือ

1. ลักษณะของโครงสร้าง
เนื่องจากการติดฝ้าเพดานสูงๆ นั่นหมายถึงการดันตัวโครงสร้างโดยรวมให้สูงขึ้นตามไปด้วย ชั้น 2 ก็จะสูงขึ้น หากต้องคำนึงถึงการใช้ชีวิตระยะยาวไปด้วย

2. ลักษณะช่องหน้าต่างและประตูควรสูงตามไปด้วย
การทำฝ้าสูงๆ สิ่งที่ตามมาคือความสูงของประตูและหน้าต่างที่ควรจะสูงตามไปด้วย เพราะถ้าฝ้าเพดานสูงแต่ใช้หน้าต่างขนาดปกติทั่วไป จะทำให้บ้านดูไม่สวยงามแล้วไม่สมส่วน

3. ฟ้าสูงการดูแลรักษาก็จะยากขึ้นตามไปด้วย
ลองนึกถึงในวันที่ฝนตกหนักเกิดไฟกระชาก แล้วหลอดไฟขาด บันไดมาตรฐานทั่วไปที่มีตามบ้านอาจจะไต่ขึ้นไปเปลี่ยนหลอดไฟไม่ได้ด้วยตัวเอง ทำให้ต้องลำบากในการเรียกช่าง หรือการทำความสะอาดก็อาจจะไม่ได้ง่ายเหมือนฟ้าที่มีความสูงมาตรฐานทั่วไป

สร้างบ้านใหม่ฝ้าเพดานควรสูงเท่าไหร่

4. ห้องที่ไม่ควรทำฝ้าสูงก็คือห้องนอน
เนื่องจากห้องนอนเป็นห้องที่เราจะใช้ในการพักผ่อน การทำฝ้าสูงบางครั้งอาจส่งผลต่อสภาพจิตใจ ที่อาจทำให้ผู้นอนรู้สึกเคว้ง ไม่ปลอดภัยแล้วทำให้นอนไม่หลับ หรือบางคนอาจจะรู้สึกเหมือนกำลังจมน้ำอยู่ในสระลึกๆ เลยก็มี ดังนั้นข้อนี้สำคัญมากในการเลือกทำฝ้าเพดาน

5. งบประมาณ
ข้อจำกัดสุดท้ายในการเลือกทําฝ้าเพดานนั่นคือเรื่องงบประมาณ ตั้งแต่ข้อ 1 – ข้อ 3 จะสังเกตเห็นว่าต้องมีการปรับเปลี่ยนแผนการสร้างบ้านค่อนข้างมาก ซึ่งแน่นอนว่าทั้งหมดส่งผลต่องบประมาณโดยรวมในการทำบ้านแน่นอน เรื่องงบประมาณจึงเป็นอีกปัจจัยที่สำคัญในการเลือก ความสูงของฝ้าเพดาน

อย่างไรก็ดีการออกแบบความสูงฝ้าเพดานก็ขึ้นอยู่กับการใช้งานของผู้อยู่อาศัยทั้งสิ้น ทั้งนี้คุณควรเลือกออกแบบให้เหมาะกับวิถีชีวิตมากที่สุดเท่าที่จะทำได้

สร้างบ้านใหม่ฝ้าเพดานควรสูงเท่าไหร่

แล้วถ้าบ้านที่มีฝ้าเพดานต่ำล่ะต้องแก้ยังไง?

นอกจากเรื่องของความสูงของฝ้าแล้วเป็นปัญหาคือ ฝ้าเพดานที่ต่ำเกินไป ซึ่งอาจเกิดจากการที่ซื้อบ้านมาแล้วตัวบ้านมีโครงสร้างที่เตี้ยหรือมีการต่อเติมพื้นบ้านให้ยกสูงขึ้นจึงทำให้ฝ้าเพดานกับพื้นบ้านไกลกันมากอาจจะต่ำกว่า 2.4 เมตร จึงทำให้รู้สึกอึดอัดในการใช้ชีวิตอยู่ในบ้าน ซึ่งสามารถแก้ไขได้ดังนี้

1. เอาฝ้าออก
น่าจะง่ายที่สุดคือการเอาฝ้าออก แล้วทำการตกแต่งเพดานใหม่ในแบบที่ต้องการ ซึ่งก็จะเป็นการทำฝ้าเปลือยสไตล์ลอฟท์

2. ใช้การติดตั้งฝ้าหลุม
ส่วนใหญ่ฝ้าที่ถูกกดต่ำจะถูกกดต่ำมาเพราะคานไม่ใช่ตัวเพดาน การทำฝ้าหลุมคือการติดฝ้าเพดานดันขึ้นไปบนตัวเพดานจริงๆ ซึ่งจะเห็นได้ทั่วไปตามโรงแรม ห้องจัดเลี้ยงต่างๆ ซึ่งก็ทำให้บ้านดูสวยงามได้อีกแบบนึง

3. ทำหน้าต่างแบบชนฝ้า
บ้านของคุณมีฝ้าเพดานสูงแค่ 2.20 เมตร แทนที่จะทำหน้าต่างขนาดมาตรฐานทั่วไปก็เปลี่ยนเป็นใช้หน้าต่างที่มีความสูง 2.20 ให้เป็นความสูงชนฝ้าไปเลย พูดง่ายๆคือสูงที่สุดเท่าที่จะสูงได้ จะทำให้รู้สึกโปร่งและโล่งมากขึ้น

4. เลือกใช้เฟอร์นิเจอร์ที่มีขนาดที่ต่ำลง
การเลือกเตียงนอนหรือเฟอร์นิเจอร์ที่มีขนาดต่ำลง มีส่วนช่วยอย่างมากที่ทำให้ฝ้าเพดานดูสูงขึ้น เพราะมนุษย์ จะเปรียบเทียบความสูงอยู่ตลอดเวลา ที่เฟอร์นิเจอร์ต่ำลงก็ทำให้มุมมองของมนุษย์รู้สึกว่าบ้านมีความสูงมากขึ้นได้เช่นกัน

ทั้งหมดนี้ก็เป็นเรื่องของการเลือกความสูงของฝ้าเพดานและการปรับปรุงเมื่อฝ้าเพดานมีขนาดที่ต่ำเกินไป
หวังว่าบทความนี้จะเป็นประโยชน์กับผู้อ่านทุกท่านที่ต้องการจะทำบ้าน กำลังทำบ้านอยู่ หรือต้องการจะปรับปรุงบ้านให้มีความสูงในแบบที่ต้องการ

คลิกติดต่อสั่งซื้อสินค้า

สินค้าแนะนำ