น้ำประปาสกปรก แก้ปัญหายังไงดี

น้ำประปาสกปรก แก้ปัญหายังไงดี

น้ำประปาสกปรก แก้ปัญหายังไงดี

น้ำถือว่าเป็นหนึ่งปัจจัยสำคัญในการดำรงชีวิตของมนุษย์ทุกคน นั่นทำให้ปัญหาน้ำประปาสกปรก ไม่สะอาด กลายเป็นหนึ่งในปัญหาใหญ่ของบ้านที่ทุกคนจำเป็นจะต้องใส่ใจ โดยปัญหาน้ำประปาสกปรกนั้นเกิดมาได้จากหลายสาเหตุ วันนี้ผู้เขียนจึงนำ 5 สาเหตุของการเกิดน้ำประปาสกปรกไม่สะอาด พร้อมทั้งวิธีแก้ไขของแต่ละวิธีมาฝากทุกท่านครับ

5 สาเหตุของการเกิดน้ำประปาสกปรก พร้อมวิธีแก้ปัญหา

1. ตรวจสอบตั้งแต่ต้นตอ
วิธีนี้คือการตรวจสอบน้ำประปาของคุณและเพื่อนบ้าน ว่าตอนนี้น้ำประปาของเพื่อนบ้านสกปรกเหมือนบ้านคุณหรือเปล่า ถ้าหากว่าเพื่อนบ้านไม่สกปรกแต่น้ำประปาบ้านสกปรก นั่นก็แปลว่าปัญหาเกิดขึ้นในตัวบ้านของคุณ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องแท็งก์ ท่อ หรือเรื่องอื่น ๆ

น้ำประปาสกปรก แก้ปัญหายังไงดี

แต่หากเพื่อนบ้านก็มีน้ำประปาสกปรกไม่สะอาดเหมือนกับบ้านของคุณ สิ่งที่ควรทำคือปรึกษากับหน่วยงานราชการที่เกี่ยวข้อง ซึ่งก็คือหน่วยงาน การประปาส่วนภูมิภาค โดยการแจ้งเรื่องร้องทุกข์ ให้ทางหน่วยงานเข้ามาดูแลและปรับปรุงการทำงานของระบบน้ำประปาในบริเวณบ้านของคุณ หรือติดตั้งเครื่องกรองน้ำต่อไป

แต่หากตรวจสอบทั้งหมดแล้วปรากฏว่าปัญหามาจากบ้านของคุณก็จะนำไปสู่สาเหตุและวิธีการแก้ปัญหาในข้อถัด ๆ ไป

2. อายุการใช้งานของท่อน้ำภายในบ้าน
ข้อนี้เป็นหนึ่งในสาเหตุที่พบได้บ่อยจากบ้านที่ปลูกมานาน โดยตัวบ้านใช้ท่อแบบ “เนื้อเหล็กอาบสังกะสี” วัสดุชนิดนี้เมื่อถูกผลิตและใช้งานมาเป็นเวลานาน ส่งผ่านน้ำติดต่อกันเป็นเวลานาน จะทำให้มีโอกาสเกิดสนิมได้ง่าย เมื่อเกิดสนิมแล้วคราบสนิมก็อาจจะหลุดร่อนมาตามกระแสน้ำ ทำให้กลายเป็นคราบสกปรกที่ไหลออกมาตอนที่คุณเปิดน้ำ

วิธีการแก้ไขอาจจำเป็นจะต้องรื้อและติดตั้งใหม่ทั้งหมด โดยแนะนำให้เปลี่ยนมาใช้ท่อแบบ PVC ในปัจจุบัน เนื่องจากมีลักษณะคงทน อายุการใช้งานค่อนข้างนาน และไม่เกิดสนิมในระยะยาว

น้ำประปาสกปรก แก้ปัญหายังไงดี

3. ปัญหาจากการแตกรั่วของท่อ
หากคุณทำการเช็คแล้วว่าบ้านของคุณใช้ท่อน้ำแบบ PVC จึงไม่ต้องกังวลเรื่องคราบสนิม ก็มีโอกาสเป็นไปได้ที่บางส่วนหรือบางจุดของท่อจะเกิดรอยแตกหรือรอยร้าวส่งผลให้มีสิ่งปนเปื้อนจากภายนอกไม่ว่าจะเป็นฝุ่น เศษหิน เศษดินทราย ไหลปนเปื้อนเข้ามากับตัวน้ำผ่านทางรอยรั่วนั้น ๆ

โดยวิธีแก้ที่ง่ายและรวดเร็วคือการใช้เทปดำสำหรับงานช่างมาพันท่อน้ำเอาไว้ เพื่อบรรเทาปัญหาที่เกิดจากท่อแตกหรือร้าว แต่หากมีเวลาและงบประมาณ แนะนำให้ทำการเปลี่ยนท่อบริเวณนั้นโดยการปิดวาล์วน้ำแล้วถอดท่อออกจากข้อต่อแล้วเปลี่ยนท่อใหม่เข้าไป ซึ่งวิธีนี้แม้จะเปลืองเวลาและอาจจะต้องจ้างช่างมาช่วยทำ แต่ก็จะแก้ปัญหาได้ในระยะยาว

น้ำประปาสกปรก แก้ปัญหายังไงดี

4. ไส้กรองหมดอายุหรือใช้งานเป็นเวลานานจนเสื่อมประสิทธิภาพ
ปัญหานี้มักเกิดกับบ้านที่ติดตั้งเครื่องกรองหยาบไว้นอกตัวบ้าน โดยเครื่องกรองหยาบจะมีลักษณะคล้ายแท็งก์ขนาดไม่ใหญ่มากติดตั้งอยู่นอกตัวบ้าน ทำงานด้วยกันปล่อยให้น้ำไหลผ่านไส้กรอง โดยทำการกรองฝุ่นกรองสิ่งปนเปื้อนเหลือแต่น้ำใสสะอาดออกมาให้กลับบ้าน แต่บางครั้งบ้านที่ใช้งานไส้กรองแบบนี้ก็อาจจะลืมเปลี่ยนไส้กรองในแต่ละอายุการใช้งาน จึงทำให้ประสิทธิภาพในการกรองน้ำลดลง แล้วปล่อยให้สิ่งปนเปื้อนไหลติดมากับน้ำได้

วิธีแก้คือทำการซื้อไส้กรองใหม่ จากนั้นก็ห้ามลืมเปลี่ยนไส้กรองทุกครั้งที่ไส้กรองหมดอายุ

5. แท็งก์น้ำสกปรก ไม่ได้ทำความสะอาดเป็นเวลานาน
สำหรับหลาย ๆ บ้านก็อาจจะไม่ได้ใช้น้ำจากน้ำประปาโดยตรง แต่ใช้วิธีการเปิดน้ำประปาใส่แท็งก์น้ำเอาไว้เพื่อกักเก็บไว้ใช้ แต่บ้านที่ใช้วิธีนี้ก็มักจะเจอหนึ่งปัญหาที่คล้ายกันคือ เมื่อใช้งานแท็งก์น้ำไปนาน ๆ แล้วลืมทำความสะอาด ทำให้สิ่งปนเปื้อนที่มากับน้ำประปาแม้จะมีไม่มาก แต่ก็สะสมรวมกันนอนอยู่ที่ก้นแท็งก์ เมื่อผ่านไปนาน ๆ สิ่งสกปรกเหล่านั้นก็มีโอกาสที่จะปนเปื้อนมากับน้ำมาสู่ก๊อกน้ำบ้านของคุณ

และทั้งหมดนี้คือ 5 สาเหตุของการเกิดน้ำประปาไม่สะอาด สกปรก พร้อมกับวิธีแก้ไขของแต่ละวิธี ลองนำทั้ง 5 ข้อไปตรวจสอบกับตัวบ้านของคุณตามขั้นตอนตั้งแต่ข้อ 1 ดูนะครับ แต่หากบ้านของใครเป็นบ้านที่น้ำประปาสกปรกเพราะน้ำจากการประปาบริเวณนั้นคุณภาพไม่ดีอยู่แล้ว สามารถเลือกดูสินค้าในหมวดถังเก็บน้ำในเว็บไซต์ของเราได้เลยนะครับ

แผ่นซีเมนต์บอร์ด การพัฒนาของวัสดุก่อสร้างที่ทันสมัยมากขึ้น

แผ่นซีเมนต์บอร์ด การพัฒนาของวัสดุก่อสร้างที่ทันสมัยมากขึ้น

 

การติดตั้งซีเมนต์บอร์ดในบ้าน

 ขอขอบคุณภาพซีเมนต์บอร์ดบ้านจาก SCG

 

   ต้องกล่าวก่อนว่า แผ่นซีเมนต์บอร์ด คืออะไร และเป็นวัสดุใช้ทำอะไรในการก่อสร้าง พูดง่ายๆก็คือ แผ่นซีเมนต์บอร์ด คือแผ่นซีเมนต์สำเร็จรูป เป็นวัสดุก่อสร้างประเภทที่เรียกว่าไม้อัดซีเมนต์ ที่ทำการผสมผสานระหว่างไม้อัดและซีเมนต์ ทำให้ได้ข้อดีต่างๆของทั้งคู่ นั่นก็คือได้คุณสมบัติของทั้งซีเมนต์แล้วไม้อัดข้อดีอย่างเช่น การเพิ่มความยืดหยุ่นและน้ำหนักที่เบา เอกลักษณ์เฉพราะของไม้อัด บวกกับความทนทานแข็งแรง ทนต่อสภาพอากาศ และสภาพแวดล้อมต่างๆ ที่เป็นเอกลักษณ์ของซีเมนต์

 

   ซึ่งเมื่อการพัฒนาบวกกับการคิดค้นได้เกิดขึ้น กรรมวิธีการผลิตก็มีความก้าวหน้าบวกเพิ่มขึ้นไปอีก ทำให้ได้ แผ่นซีเมนต์บอร์ด ที่มีความยืดหยุ่นสูงไส้กลางมีความแข็งแรง ไม่บุบสลายง่าย เนื้อแผ่นเรียบ มีลวดลายที่สวยงาม ละเอียดให้อารมณ์เหมือนสีสไตล์ปูนเปลือย จึงทำให้เกิดวัสดุประเภทใหม่ที่ทันสมัยตอบโจทย์ความต้องการของผู้บริโภค ที่ต้องการความสวยงามที่เพิ่มขึ้น และช่วยแก้ปัญหาในการก่อสร้าง

 

เช่นช่วยประหยัดเวลานั่นเองเพราะด้วยเหตุนี้ จึงทำให้ ซีเมนต์บอร์ด  เป็นหนึ่งในวัสดุที่กำลังเป็นที่นิยมสำหรับงานก่อสร้างมากที่สุดในตอนนี้นั่นเอง ซึ่งความนิยมในการใช้ ซีเมนต์บอร์ด ในการก่อสร้างนั้นมีอะไรบ้างเราไปต่อกันเลย

 

แผ่นซีเมนต์บอร์ด สามารถใช้แบบไหนได้บ้าง ?

จากที่กล่าวไปในส่วนของย่อหน้าแรก ซีเมนต์บอร์ด ก็คือแผ่นซีเมนต์สำเร็จรูปมีให้เลือกหลายขนาดนิยมใช้เอาไว้ทำฝาผนัง หรือทำพื้นแบบแห้ง ไม่ต้องใช้การเทปูนแบบปูนผสมน้ำ หรือการก่ออิฐในการสร้างผนังหรือกำแพง สามารถใช้งานได้ทั้งภายนอกและภายในเพราะมีความทนทานสูงอยู่แล้ว น้ำไม่รั่วไม่ซึม

 

จะเน้นเป็นงานประเภทงานตกแต่งโดยเฉพาะงานที่ต้องการโชว์ผิวของวัสดุ สามารถใช้แทนงานปูนเปลือยขัดมันได้ โดยไม่ต้องมีอะไรมาปิดผิว ทำให้สะดวก รวดเร็วในการติดตั้ง ประหยัดเวลาและต้นทุนในการก่อสร้างไปได้มาก เพราะเน้นการโชว์ผิวโดยไม่ต้องมีวัสดุมาปิดทับ ไม่ต้องเก็บงาน เหมาะกับสไตล์ลอฟท์ หรือโมเดิร์น ซึ่งต้องบอกว่าข้อดีของ แผ่นซีเมนต์บอร์ด นอกจากที่กล่าวมาแล้ว ก็ยังมีอีกมากที่ทำให้วัสดุชนิดนี้เป็นที่นิยมอย่างมากในการก่อสร้าง

 

 

ทำไมจึงเลือกใช้ แผ่นซีเมนต์บอร์ด ในการก่อสร้าง ?

 

-ปลวกไม่กิน และไม่เกิดเชื้อรา

   ด้วยกรรมวิธีผลิตที่ต้องผ่านการอัดด้วยแรงกดสูงจนได้ความหนาที่ต้องการ วิธีผลิตที่ได้มาตรฐานไม่เสี่ยงต่อการเจอเนื้อวัสดุที่แยกชั้น ทำให้ส่วนผสมที่เป็นไม้จึงถูกครอบคลุมและผสมผสานเป็นเนื้อเดียวกับซีเมนต์

 

-ทนไฟ

   ผ่านการทดสอบการทนไฟตามมาตรฐาน BS 476 ข้อ 6 และ 7 จัดเป็นวัสดุประเภท O หรือ virtually non-combustible ช่วยเพิ่มความปลอดภัยยามเกิดเพลิงไหม้ และระบบผนังที่สร้างจาก วีว่า บอร์ด ผ่านการทดสอบสำหรับผนังทนไฟ 1 ชั่วโมง และ 2 ชั่วโมง ชั่วโมงช่วยเพิ่มความปลอดภัยยามเกิดเพลิงไหม้

 

-กันความร้อน

   แผ่นซีเมนต์บอร์ด มีส่วนผสมของไม้ ซึ่งเป็นวัสดุที่มีค่าการนำความร้อนต่ำช่วยให้บ้านเย็นสบาย ถ่ายเทความร้อนได้สะดวก และช่วยประหยัดพลังงาน

 

-ป้องกันเสียงรบกวน

   ความหนาแน่นที่สูงถึง 1300 กก./ลบ.ม. ทำให้ ซีเมนต์บอร์ด สามารถป้องกันเสียงรบกวนได้เป็นอย่างดี

 

-คงทนต่อทุกสภาวะอากาศ

   ซีเมนต์บอร์ดผ่านการทดสอบแล้วว่ามีค่าความยืดหยุ่นและค่าต้านแรงดันที่สูงกว่ามาตรฐาน มอก. สามารถใช้งานภายนอกได้นับสิบ ๆ ปี โดยไม่บวม ผุกร่อน หรือย่อยสลาย ซึ่งมีคุณสมบัติไม่ต่างอะไรจากการก่อผนังแบบอิฐและฉาบปูนเลย

 

-สวยงาม ติดตั้งง่าย รวดเร็ว

ซีเมนต์บอร์ดผ่านกรรมวิธีขัดผิวทำให้ได้ผิวที่เรียบเนียนละเอียด ซึ่งถึงตัววัสดุจะทำมาจากไม้ก็จะไม่พบเศษไม้ปราศจากเศษไม้ บนผิวหน้าสามารถนำไปใช้แบบเปลือยสไตล์ลอฟท์โดยไม่ต้องทาสี ติดตั้งระบบแห้งไม่เลอะเทอะอีกด้วย

 

-ปลอดภัยต่อสุขภาพ

    ซีเมนต์บอร์ดไม่ผสมสารใยหิน (Asbestos) หรือกาวยูเรียฟอมัลดีไฮน์ที่พบในวัสดุก่อสร้างอื่นที่เป็นอันตรายต่อสุขภาพ

 

-ประหยัด

   นอกจากจะมีราคาไม่แพงแล้ว แผ่นไม้อัดซีเมนต์อเนกประสงค์ ยัง ช่วยประหยัดทั้งค่าแรงงานก่อสร้าง และค่าฐานรากอาคาร

 

-ใช้งานได้อเนกประสงค์

   สามารถเลื่อย เจาะ ตอกตะปู ยึดด้วยสกรู เคลือบผิว ทาสี ติดวอลเปเปอร์ รวมถึงปูกระเบื้องได้ นอกจากผนัง และพื้นบ้านแล้ว ยังทำเป็นพื้นบันได เคาน์เตอร์ครัว และอื่นๆ อีกมากมาย โดยขนาดความหนาที่เหมาะสำหรับทำผนัง ได้แก่ 8-16 มม. ส่วนพื้น 20-24 มม. ซึ่งค่าแบบนี้ สามารถทำได้แทบทุกอย่างที่ต้องการได้เลย

 

อย่างไรก็ตามเมื่อทราบถึงจุดเด่นของ แผ่นซีเมนต์บอร์ด กันแล้ว เราก็ยังต้องมาตัดสินใจเลือกอีก 1 อย่างนั่นก็คือ ยี่ห้อของ ซีเมนต์บอร์ด นั่นเอง ซึ่งส่วนนี้ก็ถือว่ามีความสำคัญอย่างมากเช่นกัน เพราะในท้องตลาด ซีเมนต์บอร์ด ก็ถือว่ามีบริษัทชั้นผลิตวัสดุก่อสร้าง ผลิตกันออกมาให้เลือกกันหลายเจ้าเลยทีเดียว ส่วนเหตุผลการเลือกซื้อก็จะแล้วแต่ปัจจัยของแต่ละคน

แผ่นซีเมนต์บอร์ด

 

 

ยี่ห้อ แผ่นซีเมนต์บอร์ด  ที่พบบ่อยในท้องตลาด

 

แผ่นซีเมนต์บอร์ด SCG

ยี่ห้อนี้ก็ต้องบอกว่า ครองตลาดเยอะที่สุด ไม่มีใครไม่รู้จัก สินค้ามาตรฐานทุกชิ้นอยู่แล้ว
ส่วนซีเมนต์ บอร์ด เอสซีจี มีขนาดเดียวคือ 120 x 240 ซม. และมีความหนาให้เลือกหลากลาย คือ 8, 10, 12, 16, 20 และ 24 มม. สามารถเลือกใช้งานตามความเหมาะสม

  • งานรองใต้หลังคา
  • งานฝ้า
  • งานผนัง
  • งานพื้น

ตารางความหนาแผ่นซีเมนต์บอร์ด

ขอขอบคุณรูปภาพตารางความหนาแผ่นจาก SCG
   

    ส่วนขนาดนั้นก็สามารถเลือกได้ความต้องการ หรือปรึกษาพนักงานขายหรือช่างออกแบบผู้เชี่ยวชาญได้เลย

 

ดูร่าวัน

   เรียบเนียน สวย มีดีไซน์ ดูร่าวันซีเมนต์บอร์ด ก็ถือว่าเป็นอีกแบรนด์ที่ได้รับความนิยมได้มาตรฐานเช่นกัน ด้วยเทคโนโลยีการผลิตที่ทันสมัย โดดเด่นด้วยผิวหน้าแบบปูนดิบสไตล์ลอฟท์
   
   ทำให้ดูร่าวันซีเมนต์บอร์ด สวย เรียบเนียน แข็งแรง ทนทานทุกสภาพอากาศ น้ำหนักเบา ไม่มีปัญหาเรื่องปลวกกิน ใช้งานได้หลากหลาย มีไซส์และขนาดให้เลือกที่เหมาะกับการใช้งานถึง 6 ขนาด

 

ซีเมนต์บอร์ดดูร่าวัน

ขอขอบคุณภาพจาก ดูร่าวันซีเมนต์บอร์ด

วีว่า บอร์ด

    วีว่า บอร์ด ได้ความหลากหลายขนาดและความหนา มีขนาดให้เลือกในการใช้งานที่ใหญ่ที่สุดกว่าทุกแบรนด์ เพื่อการใช้งานในพื้นที่ต่าง ๆ นอกจากขนาดมาตรฐาน 1,200 x 2,400 มิลลิเมตร แล้ว วีว่า บอร์ด ได้เพิ่มขนาดพิเศษ

 

วีว่าบอร์ด

ขอขอบคุณภาพจาก วีว่าบอร์ด

 

   เพื่อการใช้งานที่หลากหลายยิ่งขึ้น ด้วยแผ่นความยาวใหม่ 3,000 มิลลิเมตร หรือ 3 เมตร เพื่อการใช้งานในพื้นที่ขนาดใหญ่ ลดรอยต่อแผ่น ติดตั้งได้สะดวกรวดเร็ว เติมเต็มทุกจินตนาการแห่งการตกแต่งอย่างแท้จริง

 

 

✅..เปรียบเทียบหรือขอใบเสนอราคาวัสดุก่อสร้างติดต่อเราได้นะคะ
📞 Tel: 097-428-2987 , 095-424-9454
LINE ID:@bwatsad

 

พื้นคอนกรีต สำเร็จรูปดีอย่างไร

พื้นคอนกรีตสำเร็จรูปความหมายคือตัวพื้นคอนกรีตสำเร็จรูป ยกมาติดตั้งแล้วใช้งานเลยไม่ได้ ต้องมาทำอะไรบางอย่าง ที่หน้างานอีกขั้นตอนหนึ่ง แล้วถึงจะได้องค์ประกอบที่สำเร็จพร้อมใช้งาน  พื้นสำเร็จรูปออกแบบมาพร้อมที่จะใช้งานแต่ยังใช้งานไม่ได้

พื้นสำเร็จรูปต้องประกอบด้วย 2 ส่วนหลักๆ
คือหนึ่งส่วนที่ผลิตมาจากโรงงานส่วนนี้ต้องมีคุณสมบัติที่แข็งแรงพอสมควร รับน้ำหนักตัวเองได้ ขนส่งแล้วไม่แตกไม่หักเพราะฉะนั้นผลิตที่โรงงานมันจะเร็วควบคุมคุณภาพง่าย เสร็จแล้วเอามาติดตั้งง่ายด้วย องค์ประกอบนี้เป็นองค์ประกอบหลักที่ถูกออกแบบมา
องค์ประกอบที่สองคือ พอมาติดตั้งหน้างานใช้ได้เลยไม่ได้แต่ต้องรับน้ำหนักระหว่างก่อสร้างได้ความหมายคือ เอาพื้นไปวาง แล้วต้องขึ้นไปเดินได้ขึ้นไปผูกเหล็กได้ ต้องแข็งแรงพอที่จะเอาคอนกรีตมาเทแล้วไม่หักแต่ยังรับน้ำหนักตามที่ออกแบบโดยสมบูรณ์ได้ดี  ซึ่งหลักๆเขาเรียกเท Topping มาผูกเหล็ก เท Topping ตามที่ออกแบบมา พอมันแข็ง จับตัวเป็นเนื้อเดียวกันมันถึงสำเร็จรูปที่ใช้งานได้ ตามวัตถุประสงค์ที่ถูกออกแบบมา เพราะฉะนั้นมันถึงมี 2 ส่วน

ส่วนแรกคือถูกผลิตมาจากโรงงาน รับน้ำหนักตัวเองได้ ขนส่งตัวเองได้ ไม่แตก ไม่หัก เอามาติดตั้งแล้วไม่แตกไม่หักรับน้ำหนักการทำงานบนตัวมันเองได้ในระดับหนึ่ง พอมาประกอบส่วนที่ 2 เข้าไปใส่เหล็กตะแกรง Wire Mesh ผูกเหล็กต่างๆ เทคอนกรีตทับหน้าตาที่ออกแบบมาพอคอนกรีตทับหน้าได้กำลังแข็งตัวตามที่ออกแบบมา มันจะมีความแข็งแรงอีกระดับหนึ่งนั้นคือระดับที่เราต้องการ ในการออกแบบ เราจึงนิยามคอนกรีตประเภทนี้ หรือพื้นคอนกรีตประเภทนี้ว่า พื้นสำเร็จรูป

ตัวอย่างพื้นสำเร็จรูปที่นำไปใช้งาน
แบบที่ 1 แผ่นพื้นสำเร็จรูปท้องเรียบ หน้า 5 ซม. กว้าง 35 ซม. ยาวไม่เกิน 4 เมตร โดยปกติ อันนี้เวลาก่อสร้างบ้านจะเห็นเขาขายวางเรียงกันเป็นแถวๆ อันนี้แบบที่หนึ่ง คุ้นชินกันอยู่แล้วโดยเฉพาะบ้านพักอาศัย หรืออาคารขนาดเล็ก Span ไม่ยาวส่วนใหญ่ก็จะคลุมที่เรียกว่าระยะคานถึงคาน ประมาณไม่เกิน 4 เมตร เราก็ใช้ตัวนี้ แล้วก็รับน้ำหนักไม่เยอะมาก 100 – 200 กก./ตร.ม.
แบบที่ 2 ต้องการที่แข็งแรงมากว่านี้หน่อย อาจจะใช้ในงานห้างสรรพสินค้า โรงงานอุตสาหกรรม ที่คานถึงคาน 8 เมตร 10 เมตร หรือ 12 เมตร ก็ได้ อาจจะรับน้ำหนักถึง 500 กก./ตร.ม. 1,000 กก./ตร.ม. ก็ยังรับได้ แบบตรงนั้นก็ต้องใช้แผ่นพื้นสำเร็จรูปอีกแบบหนึ่งซึ่งเราอาจจะเคยเห็นที่เขาขนส่ง หรือที่ก่อสร้างคือ แผ่นพื้นสำเร็จรูป Hollow Core ก็จะมีความหนาตั้งแต่ 12 ซม. 6,10,12 ,15,25,30 ซม. แล้วมีรูตรงกลางเพื่อลดน้ำหนัก เขาจะออกแบบมาซึ่งทำงานเหมือนกันเลย พอมันใหญ่ขึ้น แข็งแรงขึ้น มันก็จะรับความยาวช่วงได้มากขึ้นรับน้ำหนักบนตัวมันได้มากขึ้น นอกนั้นหลักการเดียวกันกับพื้นสำเร็จรูปท้องเรียบ อันนั้นคือพื้น Hollow Core ส่วนใหญ่ที่เป็นคอนกรีตเราก็จะเจอสองแบบนี้

แต่เราจะเห็นอีกแบบหนึ่งที่เราจะเห็นบางทีเขาทำสะพานลอย Sky Walk จะเห็นว่าทำไมเขาเอาเมทัลชีทมาวาง แล้วเทคอนกรีตจริงๆ มันเป็นเหล็กเดียวกับเมทัลชีท เราเรียกระบบนี้ว่า Steel Deck แทนที่จะเอาแผ่นพื้นท้องเรียบ เขาก็เอาแผ่นที่เป็นลอนที่เป็นเหล็กเอามาวาง เสร็จแล้วก็จะมีเดือย เอา Wire Mesh วาง เสร็จแล้วเทปูน เหมือนกันพอเสร็จแล้วก็ใช้งานได้ตามปกติ เพราะฉะนั้นตรงนี้ก็จะเป็นแผ่นพื้นสำเร็จรูปอีกแบบหนึ่ง เพียงแต่ว่าตัวสำเร็จรูปจากโรงงาน เปลี่ยนจากคอนกรีตเป็นเหล็กเท่านั้น
ทำไมต้องใช้แบบนี้ แผ่นพื้นสำเร็จรูปผลิตจากโรงงานมาถึงวางบนคาน สิ่งที่หายไปในการก่อสร้างคือไม้แบบ ลองนึกภาพถ้าไม่เอาแผ่นพื้นสำเร็จรูปมาใช้ เราจะเทปูนด้วยการเอาคอนกรีตมาเท สมมุติชั้นสองช่างต้องตั้งตุ๊กตา ตุ๊กตาที่เป็นไม้ ไม่ใช่ตุ๊กตาเป็นตัว ต้องตั้งตุ๊กตาเสร็จแล้วต้องทำคานไม้ ตั้งไม้เสร็จแล้วต้องปูแผ่นไม้อัด เพื่อทำเป็นไม้แบบรองรับ ทำไม้แบบเสร็จแล้วค่อยผูกเหล็ก ผูกเหล็กเสร็จแล้วค่อยเทปูน แล้วต้องรออีกอย่างน้อย 14 วัน ถึงจะถอดไม้แบบข้างล่างได้ทำอะไรต่อไม่ได้เลย

พื้นสำเร็จรูป มีประโยชน์อย่างไร

1.เหมาะสมที่สุดคือมันเอามาแทนการใช้ไม้แบบไปเลย
2.ลดเวลาการใช้แรงงานคน ลดค่าแรง
ซึ่งพอมาเฉลี่ยกันแล้วพื้นสำเร็จรูปเหมือนจะแพงกว่า แต่จริงๆ พอมาชดเชยเรื่องเวลาและค่าแรงต่างๆ ค่าไม้แบบที่เอามาถัวเฉลี่ยกัน ไม่ได้แพงกว่าเลย เป็นทางเลือกที่ดีทางเลือกหนึ่ง

เครดิตคุยข้อมูล

รีโนเวทบ้านไม้ เป็นบ้านคอนกรีต ทำได้ไหม และทำอย่างไร

รีโนเวทบ้านไม้ เป็นบ้านคอนกรีต ทำได้ไหม และทำอย่างไร

รีโนเวทบ้านไม้ เป็นบ้านคอนกรีต ทำได้ไหม และทำอย่างไร

Photo Source https://www.canva.com/photos/MADBcZIqzVc-thai-wooden-house/

เมื่อพูดถึงการอาศัยอยู่ในบ้านเป็นเวลานาน ๆ หนึ่งในสิ่งที่มักจะตามมานั่นคือ การรีโนเวทบ้าน ซึ่งเป็นการปรับเปลี่ยนรูปแบบตัวบ้านใหม่ เข้ากับวิถีชีวิตและความต้องการใน ณ เวลานั้น โดยบางคนอาจจะแค่ทาสีใหม่ เพิ่มลดเฟอร์นิเจอร์ แต่บางคนก็ต้องการเปลี่ยนรูปลักษณ์ภายนอกใหม่แทบทั้งหมด โดยวันนี้เราจะมาพูดถึงการรีโนเวทบ้านจากบ้านไม้มาเป็นบ้านคอนกรีต ว่าจะทำได้หรือเปล่า และหากทำได้ต้องทำอะไรบ้าง มีการเตรียมตัวอย่างไร และมีเรื่องอะไรบ้างที่ควรระวังในการรีโนเวทแบบนี้

สิ่งที่สำคัญที่สุดคือ งานฐานราก

เมื่อพูดถึงงานโครงสร้างทุกรูปแบบบนโลกใบนี้ สิ่งที่สำคัญที่สุดที่ต้องคำนึงถึงเป็นอันดับแรกนั่นคือ งานฐานราก เพราะโครงสร้างจะสามารถตั้งอยู่บนพื้นได้หรือไม่ล้วนอยู่ที่ความสามารถในการรับน้ำหนักของฐานรากทั้งสิ้น ซึ่งจากที่กล่าวมา สิ่งแรกที่ต้องคิดก่อนรีโนเวทบ้านไม้คือ ฐานรากปัจจุบันรับน้ำหนักโครงสร้างคอนกรีตไหวไหม

บ้านไม้ไทยโดยทั่วไปจะสร้างโดยมีเสาปูนตอกลงใต้ดินไม่ลึกมาก โดยปลายของเสาที่ถูกฝังอยู่จะมีตีนเสาแผ่ออกมาเล็กน้อยเพื่อรับน้ำหนักบ้าน หรือที่เรียกว่า Footing จากนั้นค่อยเป็นการต่อคานระหร่างเสาแต่ละต้นด้วยไม้เป็นพื้นบ้านที่เรียกว่า ตงไม้ แล้วค่อยต่อเสาของตัวบ้านขึ้นไปยังโครงสร้างด้านบน โดยโครงสร้างหลักแทบทั้งหมดคือ ไม้

จากทั้งหมดที่กล่าวมาตีเสาที่เป็นฐานรากแม้จะรับน้ำหนักบ้านทั้งหลังก็จริง แต่ตัวบ้านก็เป็นไม้ซึ่งเป็นวัสดุที่น้ำหนักเบากว่าคอนกรีตอย่างน้อย 5 เท่าตัว ดังนั้นแค่เรื่องน้ำหนักของวัสดุก็ไม่สามารถเปลี่ยนโครงสร้างจากไม้เป็นคอนกรีตแล้ว เพราะฉะนั้นเบื้องต้นไม่สามารถรีโนเวทได้ทันที แต่หากคุณต้องการจะรีโนเวทใหม่จริง ๆ อาจจะเพราะปัญหาเรื่องการใช้งาน เสียงดังเอี๊ยดอ๊าดต่าง ๆ ก็พอจะมีวิธีแก้ปัญหาให้ ซึ่งผมรวบรวมมาให้แล้ว

รีโนเวทบ้านไม้ เป็นบ้านคอนกรีต ทำได้ไหม และทำอย่างไร

Photo Source https://www.canva.com/photos/MADAXkz5hnY-three-wooden-thai-northern-style-house/

ทางออกสำหรับปัญหาฐานรากรับน้ำหนักไม่ได้

อย่างที่กล่าวไปข้างต้นว่าการจะรีโนเวทบ้านไม้ให้กลายเป็นบ้านคอนกรีตโดยตรงนั้นไม่สามารถทำได้ เพราะคานบ้านจะไม่สามารถรับน้ำหนัก เพราะฉะนั้นนี่คือ ทางออกสำหรับคนที่ต้องการจะรีโนเวทบ้านจริง ๆ

1. รีโนเวทพื้นที่ใต้ถุนให้เป็นห้องสำหรับใช้งาน
วิธีแรกเป็นวิธีที่คนนิยมทำกันมาก นั่นเพราะธรรมชาติของบ้านไม้ของไทยจะเป็นบ้านแบบยกสูงและปล่อยพื้นที่ใต้ถุนบ้านที่ค่อนข้างกว้างไว้ เพราะฉะนั้นตัวเลือกที่ดีคือ การทำโครงสร้างใหม่ขึ้นมาที่ใต้ถุนบ้าน อาจก่ออิฐขึ้นเป็นห้องใหม่อีก 1 ห้องเพื่อใช้ประโยชน์ โดยวิธีคือ ตอกเสาใหม่สำหรับรับน้ำหนักโครงสร้างปูนลงไปที่ใต้ถุนเพื่อสร้างส่วนต่อเติมเป็นห้องใหม่ที่ไม่ไปรบกวนน้ำหนักของโครงสร้างเก่า ทำให้เสาเดิมของตัวบ้านไม่ต้องรับน้ำหนักคอนกรีตเพิ่ม

2. ปรับพื้นชั้น 2 เป็นคอนกกรีต
หนึ่งในปัญหาของการอยู่บ้านไม้คือ ปัญหาเสียงดังของพื้นไม้เวลาเดิน เพราะฉะนั้นหากมีการทำห้องด้านล่างเป็นส่วนต่อเติมในข้อที่ 1 แล้ว เพียงแค่ทำเสาเพิ่มเข้าไปเพื่อรับน้ำหนักคานที่เป็นปูน แล้วทำการเทปูนเป็นพื้นชั้น 2 รองใต้ตงไม้ ก็ช่วยให้ปัญหาเสียงดังของพื้นตงไม้หายไปได้แล้ว เพียงแต่วิธีนี้จะใช้ค่าใช้จ่ายค่อนข้างสูง ใช้เวลาพอสมควร ตามปกติช่างจะแนะนำให้รื้อสร้างใหม่แต่ใช้วัสดุเก่า จะประหยัดกว่า ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับความพอใจและงบประมาณของเจ้าของบ้านในแต่ละกรณี

3. เพิ่มส่วนขยายโดยแยกโครงสร้างกันให้ชัดเจน
วิธีนี้ใกล้เคียงกับข้อ 1 โดยการทำส่วนต่อเติมออกมา แต่จะต่างกันตรงที่เป็นการต่อส่วนขยายออกมาจากตัวบ้านอย่างชัดเจน อาจทำเป็นห้องเพิ่มขึ้นมาหรือทำเป็นส่วนใช้งานอื่น ๆ ก็ง่ายเช่นกัน แบบนี้ก็เป็นการต่อเติมตามความต้องการได้เลยไม่ต้องกังวลเรื่องฐานรากของตัวบ้าน

4. รื้อทำใหม่แต่ใช้วัสดุเก่า
นี่คือ วิธีที่ผมกล่าวถึงในข้อที่ 2 โดยอาจเกินเลยจากการรีโนเวทไปเป็นการรื้อถอนก่อนจะสร้างใหม่ด้วยวัสดุและโครงสร้างภายนอกแบบเดิม เปลี่ยนแค่การออกแบบภายในและส่วนฐานรากที่สามารถรับน้ำหนักได้มากขึ้นตามความต้องการและการออกแบบของคุณ วิธีนี้เมื่อเทียบกันแล้วค่อนข้างใช้งบประมาณน้อย เพราะงานที่ทำใหม่ส่วนใหญ่จะเป็นงานฐานรากและงานสถาปัตย์ภายในเท่านั้น ส่วนงามฐานรากเองก็เป็นงานที่ใช้งบประมาณไม่ได้สูงมากจนเกินไป

รีโนเวทบ้านไม้ เป็นบ้านคอนกรีต ทำได้ไหม และทำอย่างไร

Photo Source https://www.canva.com/photos/MADB6ai8etc-thai-house/

ทั้ง 4 ข้อนี้คือ สิ่งที่คุณสามารถทำได้ในกรณีที่จำเป็นหรือต้องการจะรีโนเวทบ้านไม้จริง ๆ อย่างไรก็ดีสิ่งที่สำคัญที่สุดคือ เรื่องงบประมาณ ค่าใช้จ่าย และคุณค่าต่อจิตใจของผู้อยู่อาศัย หากตอนนี้ใครที่กำลังตัดสินใจรีโนเวทบ้านไม้ก็หวังว่าบทความนี้จะมีประโยชน์ ส่วนใครที่กำหลังคิดจะสร้างบ้านไม้เพื่ออยู่อาศัย อาจลองพิจารณ์เรื่องงานฐานรากที่มีความแข็งแรงมั่นคงและรับน้ำหนักตัวโครงสร้างได้มาก อย่างน้อยก็เป็นการวางแผนล่วงหน้าเผื่อตัวคุณหรือสมาชิกคนอื่น ๆ ในครอบครัวต้องการทำการรีโนเวทบ้าน จะได้สามารถทำได้อย่างสบายใจ และไม่มีปัญหาอะไรตามมาภายหลังนั่นเอง

ลวดเหล็กที่ดีต้องมีคุณสมบัติอย่างไร

ลวดเหล็กที่ดีต้องมีคุณสมบัติอย่างไร

เมื่อพูดถึงวัสดุที่ใช้ในการก่อสร้างและพบเจอบ่อยในการใช้ชีวิตประจำวัน แต่คนเรากลับไม่ค่อยนึกถึงหรือให้ความสำคัญมากเท่าไหร่นัก วัสดุชิ้นนั้นก็คือลวดเหล็กนั่นเอง นั่นเพราะมองจากภายนอกก็ดูแทบไม่แตกต่างกัน ยี่ห้อไหนก็ไม่ต่างกัน เป็นลวดชุบสังกะสีเหมือนกัน แต่ความจริงแล้วในรายละเอียดลึก ๆ ของลวดเหล็กชุบสังกะสีนั้นค่อนข้างแตกต่างกันและมีส่วนที่ไม่สามารถมองข้ามได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเรื่องของอายุการใช้งาน เพราะฉะนั้นในบทความนี้ผมจะมาพูดถึงประโยชน์ว่า ลวดเหล็กสามารถนำมาใช้ทำอะไรได้บ้างและลวดเหล็กที่ดีต้องมีคุณสมบัติอย่างไรบ้าง

ลวดเหล็กที่ดีต้องมีคุณสมบัติอย่างไร

Photo Source https://www.canva.com/photos/MAD3melpSFs-steel-wire/

คุณสมบัติที่สำคัญของลวดเหล็กชุบสังกะสี

แน่นอนครับว่าสิ่งที่สำคัญที่สุดของวัสดุที่ใช้สำหรับการก่อสร้างโดยเฉพาะประเภทโลหะอย่างลวดนั่นคือ ความแข็งแรง ซึ่งนี่ก็เป็นคุณสมบัติข้อแรกและสำคัญที่สุดที่หลายคนมองหาในตัวลวดเหล็ก แต่ความจริงแล้วยังมีอีกหนึ่งคุณสมบัติที่สำคัญไม่แพ้ความแข็งแรงนั่นคือ ความทนทานต่อการเกิดสนิม ใช่ครับลวดเหล็กที่เรากำลังพูดถึงอยู่นั่นคือลวดเหล็กชุบสังกะสี ซึ่งเหตุผลหลักที่ลวดเหล็กจำเป็นต้องมีการนำไปชุบสังกะสีก็เพื่อป้องกันการผุกร่อน และการสึกหรอ จากการเกิดสนิมนั่นเอง ซึ่งก็เป็นลวดเหล็กที่เราสามารถพบเห็นได้ทั่วไปนั่นแหละครับ

ลวดเหล็กชุบสังกะสี ใช้ทำอะไรบ้าง

1. กลุ่มรั้วลวดเหล็ก
การนำลวดเหล็กชุบสังกะสีไปใช้ประโยชน์ข้อนี้ น่าจะเป็นข้อที่พบเห็นได้บ่อยที่สุด ไม่ว่าจะเป็นรั้วลวดเหล็กชนิดตาข่าย หรือรั้วลวดเหล็กชนิดรั้วลวดหนาม
2. กลุ่มงานประมง
งานประมงจะมีการใช้ลวดเหล็กชุบสังกะสีในการทำ Crab Box หรือกรงดักปู งานอวนต่าง ๆ หรืองานคอนโดปลาสำหรับดักปลาเองก็ใช้ลวดหนามทำขึ้นมา
3. กลุ่มงานการเกษตรและปศุสัตว์
กลุ่มงานประเภทนี้จะมีการใช้ลวดเล็กกันอย่างแพร่หลาย ไม่ว่าจะเป็น เสาเลื้อยสำหรับต้นองุ่น กรงสัตว์ขนาดเล็กต่าง ๆ เช่น กรงไก่ เป็นต้น
4. กลุ่มงานก่อสร้าง
การใช้งานลวดหนามในงานกลุ่มนี้ถูกใช้อย่างแพร่หลายมาก ไม่ว่าจะเป็น การนำมาตีเกลียวเป็นลวด Strand สำหรับใช้ทำสายดินในเสาคอนกรีตอัดแรง ใช้สำหรับเสาส่งไฟฟ้าแรงสูงและสายสลิง
ลวดธรรมดาสำหรับงานมือทั่ว ๆ ไป หรือแม้กระทั้งใช้เป็นกล่อง Gabion สำหรับทำ Slope Protection หรือตาข่ายป้องกันการกัดเซาะของดินริมตลิ่ง ใช้งานโดยคลี่กรง Gabion ออกมาแล้วเอาหินใส่จนเต็มก่อนจะนำมาวางเพื่อเป็นชั้นหินป้องกันการกัดเซาะของหน้าดินตามริมแม่น้ำและไหล่เขาต่าง ๆ

นอกจากงานภายนอกอาคารแล้วงานภายในอาคารเองก็มีการใช้ลวดเหล็กชุบสังกะสีเช่นกัน นั่นคือ ลวดแขวนฝ้าเพดานที่แทบทุกบ้านต้องใช้กันอยู่แล้ว หรือถ้าเป็นตามโรงงานก็จะเป็นลวดสำหรับใช้รับ Insulation

ลวดเหล็กที่ดีต้องมีคุณสมบัติอย่างไร

Photo Source https://www.canva.com/photos/MADEL1ROWEI-steel-wires-in-hand/

จะเห็นว่าวัสดุเล็ก ๆ อย่างลวดเหล็กนั้นไม่ได้รับผิดชอบงานเล็ก ๆ ตามตัวมันเลย เพราะบางครั้งโครงสร้างจะสามารถอยู่ตัวและคงทนแข็งแรงได้นานแค่ไหน ก็ขึ้นอยู่กับคุณสมบัติและการชุบเคลือบสังกะสีป้องกันสนิมของลวดเหล็กนั่นเอง

การชุบเคลือบสังกะสีในลวดเหล็กมีกี่ประเภท

1. Electro Galvanization
การเคลือบผิวลวดเหล็กด้วยสังกะสีเรียกอีกชื่อว่า Electro Galvanization หรือการเคลือบลวดแบบชุบไฟฟ้า เป็นการชุบด้วยไฟฟ้าที่เรียกว่า ลวดไฟฟ้า ซึ่งจะได้ผิวเคลือบที่บาง ทนต่อการขีดข่วนได้ไม่ดี สังกะสียึดเกาะต่ำกว่า ชั้นเคลือบบางกว่า ส่งผลให้อายุการใช้งานสั้นกว่า
2. Hot-Dip Galvanization
การเคลือบแบบนี้คือ การเคลือบสังกะสีแบบจุ่มร้อน เป็นวิธีการเคลือบที่ทำให้ชั้นผิวเคลือบแข็งแรง ทนต่อการขีดข่วนได้ดี สังกะสียึดเกาะแน่น ไม่หลุดล่อน มีชั้นเคลือบที่หนากว่า ส่งผลให้อายุการใช้งานมีมากกว่า

แต่แม้จะเป็นการชุบเคลือบสังกะสีแบบ Hot-Dip Galvanization เหมือนกัน แต่ก็มีหลายวิธีในการเคลือบ โดยหากเปรียบเทียบการเคลือบแบบ Hot-Dip Galvanization ด้วยการทดสอบการกัดกร่อนภายใต้ Salt Spray Test : ASTM B117-11 จะได้ผลลัพธ์ออกมาดังนี้

– Hot-Dip Galvanization ชนิดเคลือบบาง จะเกิดสนิมแดงหลังผ่านการทดสอบไป 120 ชั่วโมง
– Hot-Dip Galvanization ชนิดเคลือบหนา จะเกิดสนิมแดงหลังผ่านการทดสอบไป 480 ชั่วโมง
– Hot-Dip Galvanization ชนิดซิงค์อลูมิเนียม 10% ยังไม่เกิดสนิมแดงหลังผ่านการทดสอบไป 960 ชั่วโมง

ลวดเหล็กที่ดีต้องมีคุณสมบัติอย่างไร

Photo Source https://www.canva.com/photos/MAEbJ_T29yg-steel-wire-warehouse-/

แม้ทั้ง 3 รูปแบบ เมื่อถูกเคลือบสังกะสีออกมาแล้วจะมีหน้าตาที่เหมือนกัน แทบแยกไม่ออก แต่เรื่องคุณภาพจะไม่ใกล้เคียงกันเลยครับ เพราะฉะนั้นการเลือกลวดเล็กที่ดีควรเลือกลวดเล็กที่ได้รับการชุบเคลือบสังกะสีแบบ Hot-Dip Galvanization ชนิดเลือบหนาหรือชนิดซิงค์อลูมิเนียม 10% จึงจะมีมาตรฐานและสามารถใช้งานได้อย่างคงทนแข็งแรงมีประสิทธิภาพสูงสุด ที่สำคัญคือ บริษัทผู้ผลิตต้องผ่านการรับรองมาตรฐานการผลิต หรือ มอก. เพื่อให้มั่นใจในคุณภาพและความคงทนตลอดอายุการใช้งาน

ทั้งหมดนี้คือ ความสำคัญและวิธีการเลือกลวดเหล็กชุบสังกะสีที่ได้มาตรฐาน สามารถใช้งานได้ยาวนาน คงทนแข็งแรง ทั้งนี้การเลือกลวดเล็กมีความสำคัญ เพราะหากลวดเล็กแข็งแรง ไม่มีการเปลี่ยนบ่อย ก็เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมและยังช่วยลดภาวะโลกร้อนได้อีกด้วย หากท่านต้องการสินค้าเกี่ยวกับบ้านและการก่อสร้าง หรือข้อมูลสินค้าอื่น ๆ สามารถเลือกชมหรือติดต่อเราผ่านทางเว็บไซต์นี้ได้เลยครับ

ฝนตก น้ำท่วม ส้วมเต็ม แก้ไขยังไงดี

ฝนตก น้ำท่วม ส้วมเต็ม แก้ไขยังไงดี

เชื่อว่าหลายท่านน่าจะเคยสังเกตว่าบ้านตัวเองเวลาที่หน้าฝนแล้วฝนตกหนัก ๆ ห้องน้ำจะมีปัญหาส้วมกดไม่ลงหรือส้วมเต็ม ทำให้ต้องแจ้งเทศบาลให้มาดูดส้วมหรือจ้างบริษัทดูดส้วมมาดูดส้วมบ่อยครั้ง เป็นเหตุให้เสียค่าใช้จ่ายอย่างสิ้นเปลือง แต่ความจริงแล้วปัญหาหน้าฝนฝนตกแล้วส้วมเต็ม สามารถแก้ปัญหาได้ด้วย 2 วิธี ซึ่งผมจะมาพูดถึงในบทความนี้

ฝนตก น้ำท่วม ส้วมเต็ม แก้ไขยังไงดี

สาเหตุของปัญหาส้วมเต็มในช่วงหน้าฝน

ระบบท่อระบายน้ำโดยทั่วไปของบ้านเราจะใช้ระบบ 2 บ่อ นั่นคือ ระบบบ่อเกรอะและบ่อซึม ซึ่งการทำงานโดยทั่วไปคือ บ่อเกรอะจะรับสิ่งปฏิกูลมาแล้วทำการตกตะกอน จากนั้นน้ำส่วนเกินก็จะไหลไปสู่บ่อซึม จากนั้นก็ซึมออกสู่พื้นดินหรือไหลสู่ระบบระบายน้ำต่อไป ซึ่งการทำงานนี้แม้จะเป็นระบบที่ใช้บ่อบำบัดน้ำก่อนค่อยส่งไปยังท่อระบายน้ำก็ใช้หลักการเดียวกัน โดยน้ำที่ผ่านการบำบัดจากบ่อบำบัดแล้วจะไหลไปสู่ท่อระบายน้ำไปสู่ท่อน้ำของประปาแทนการซึมออกแบบบ่อซึม

ซึ่งเหตุผลที่ส้วมเต็มกดไม่ลงเวลาหน้าฝนก็เพราะ เมื่อภายนอกมีน้ำมาก ๆ ซึ่งเกิดจากฝนที่ตกลงมาอย่างต่อเนื่องก็จะทำให้การระบายน้ำออกจากบ่อซึมถูกดันกลับเข้ามายังบ่อซึมหรือท่อระบาย เพราะปกติแล้วบ่อซึมจะระบายน้ำออกไปสู่ธรรมชาติหรือระบายออกสู่ระบบระบายน้ำ แต่เมื่อน้ำในระบบมีมากกว่าน้ำในบ่อซึมจึงเป็นเหตุผลที่ไม่สามารถระบายได้ แล้วเมื่อระดับน้ำในบ่อซึมมากเข้าก็ทำการไหลย้อนกลับเข้าสู่บ่อเกรอะหรือบ่อบำบัด ส่งผลให้ไม่สามารถกดส้วมลงไปยังบ่อเกรอะได้

ฝนตก น้ำท่วม ส้วมเต็ม แก้ไขยังไงดี

วิธีแก้ปัญหาส้วมเต็มเวลาน้ำท่วม

ซึ่งวิธีแก้ปัญหาก็แบ่งได้ทั้งหมด 2 วิธี เป็นวิธีแบบง่าย ๆ และอีกวิธีนึงเป็นวิธีที่ต้องใช้อุปกรณ์ช่วย

วิธีที่ 1 เป็นวิธีที่ใช้ได้กับบ้านที่ใช้ระบบบ่อบำบัด ที่จะทำการพักสิ่งปฏิกูลเอาไว้ก่อนจะส่งน้ำที่บำบัดแล้วไปสู่ท่อระบายน้ำของประปา เนื่องจากมีความเกี่ยวข้องกับท่อประปา ดังนั้นก่อนที่จะแจ้งให้เทศบาลมาดูดส้วม ท่านอาจจะต้องลองเช็คดูท่อประปาบริเวณบ้านดูก่อนว่ามีอะไรอุดตันหรือเปล่า หากมีอะไรไปอุดตันหรือท่อไม่สะอาดก็สามารถแจ้งเทศบาลให้มาทำการลอกท่อบริเวณบ้านได้ ก็จะช่วยแก้ปัญหาส้วมเต็มกดไม่ลงในช่วงหน้าฝนได้ระดับหนึ่ง

วิธีที่ 2 วิธีนี้เป็นวิธีที่เป็นที่นิยมอย่างแพร่หลาย ใช้ได้ทั้งบ้านที่เป็นระบบบ่อเกรอะบ่อซึม และบ้านที่ใช้ระบบบ่อบำบัดน้ำเสีย โดยวิธีใช้จะเป็นการติดตั้งปั๊มน้ำเอาไว้ก่อนที่จะส่งน้ำไปยังท่อระบายน้ำหรือติดตั้งต่อจากบ่อซึม โดยทั่วไปน้ำจะถูกส่งตรงไปยังบ่อซึมหรือท่อระบายน้ำ แต่เมื่อมีปั๊มน้ำมากั้นเอาไว้จะทำการติดเซ็นเซอร์วัดระดับน้ำเอาไว้ โดยก่อนจะส่งน้ำไปยังระบบท่อระบายน้ำ จะส่งน้ำมาพักไว้ที่บ่อของปั๊มน้ำ เมื่อน้ำขึ้นสูงมาจนถึงระยะที่เซ็นเซอร์ตั้งค่าไว้ ปั๊มน้ำจะปิดเครื่องเองอัตโนมัติแล้วทำการดันน้ำออกสู่ภายนอก

ฝนตก น้ำท่วม ส้วมเต็ม แก้ไขยังไงดี

โดยวิธีนี้จะไม่มีปัญหาเรื่องของระดับน้ำภายนอกมาเกี่ยวข้องเพราะใช้แรงดันน้ำจากปั๊ม ทำให้สามารถดันน้ำขึ้นสู่ที่สูงได้โดยไม่มีปัญหา และเมื่อปั้มดันน้ำออกไปจนน้ำลดมาถึงระดับที่เซ็นเซอร์ตั้งค่าเอาไว้ปั๊มน้ำก็จะหยุดทำงานอัตโนมัติ ทำให้ประหยัดไฟในช่วงเวลาปกติ แน่นอนว่าช่วงหน้าฝนอาจจะมีปัญหาค่าไฟเพิ่มขึ้นมาบ้างเล็กน้อย แต่ก็น้อยมากเมื่อเทียบกับการต้องจ้างเทศบาลมาดูดส้วมตลอดเวลา

วิธีนี้เป็นวิธีที่ง่ายและได้ผลดีที่สุดในการแก้ปัญหาส้วมเต็มในช่วงหน้าฝน ซึ่งปกติแล้ววิธีนี้จะใช้กันตามโรงงานหรืออาคารสำนักงานใหญ่ ๆ ที่จะต้องมีห้องน้ำจำนวนมาก ทำให้อาคารเหล่านั้นไม่มีปัญหาเรื่องส้วมเต็มในช่วงหน้าฝนเลย สำหรับท่านไหนที่ต้องการจะใช้วิธีแก้ปัญหาแบบนี้สามารถติดต่อช่างให้มาติดตั้งปั๊มน้ำได้เลย

ทั้งหมดนี้คือสาเหตุและวิธีแก้ปัญหา ของปัญหาฝนตกส้วมเต็มในช่วงหน้าฝน ซึ่งวิธีแรกนับว่าเป็นการแก้ปัญหาเฉพาะหน้าแต่วิธีที่ 2 เป็นการแก้ปัญหาที่ได้ผลได้ในระยะยาว เพราะฉะนั้นหากท่านไม่ต้องการจะเสียเงินในระยะยาวไม่ว่าจะเป็นการดูดส้วมการลอกท่อท่านสามารถใช้วิธีที่ 2 เพื่อประหยัดเงินในระยะยาวได้ สุดท้ายหวังว่าบทความนี้จะเป็นประโยชน์กับทุกท่านที่ต้องการแก้ปัญหาส้วมเต็มในช่วงหน้าฝน

เสาเข็มไมโครไพล์ มีประโยชน์อย่างไร

เสาเข็มไมโครไพล์ มีประโยชน์อย่างไร

ในการสร้างบ้านแต่ละครั้งเมื่อใช้งานไปสักระยะหนึ่งก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าจะต้องมีการขยับขยายปรับปรุงโครงสร้างบ้าน หรือหลาย ๆ ครั้งอาจมีการต่อเติมส่วนที่จำเป็นต้องใช้งานเพิ่มขึ้น และเมื่อพูดถึงโครงสร้างแล้วส่วนที่จะมาเป็นพระเอกในงานโครงสร้างก็คือตัวเสาเข็ม ซึ่งวันนี้ผมจะมาพูดถึงเสาเข็มไมโครไพล์ พระเอกในงานฐานรากขนาดเล็กถึงกลาง

เสาเข็มไมโครไพล์ มีประโยชน์อย่างไร

งานฐานรากคืออะไรและสำคัญอย่างไร

ในการสร้างบ้านหรือสร้างตัวอาคารขึ้นมาใหม่สิ่งที่สำคัญเป็นอันดับแรกในงานวิศวกรรมคือ งานฐานราก เนื่องจากฐานรากเป็นส่วนสำคัญที่รับน้ำหนักของโครงสร้างทั้งหมดเอาไว้ ดังนั้นความแข็งแรงของฐานรากจึงเป็นตัวกําหนดความปลอดภัยหรืออันตรายที่จะเกิดขึ้นในอนาคตจากโครงสร้างได้

งานฐานรากจะแบ่งด้วยกันหลักทั้งหมด 2 ประเภท

ประเภทที่ 1 เรียกว่างานฐานแผ่
เป็นงานฐานรากที่ไม่จำเป็นจะต้องมีเสาเข็ม ลักษณะงานจะเป็นการต่อคานลงไปเล็กน้อยใต้ดิน โดยมีเสาค้ำคานอยู่เป็นจุด ๆ ทั่วบริเวณแผ่นฐานราก

งานฐานรากประเภทนี้จะเป็นงานที่ไม่มีเสาเข็มเพราะน้ำหนักทั้งหมดจะถ่ายลงไปจากตัวอาคารสูงอาคารไปสู่พื้นดินได้เลย ซึ่งงานประเภทนี้ก็เหมาะกับเนื้อที่ที่มีดินค่อนข้างแน่น แข็ง รับน้ำหนักได้ดี จะไม่เหมาะกับพื้นดินที่เป็นที่ราบลุ่มหรือพื้นที่ลุ่มน้ำอย่างเช่นภาคกลาง

เสาเข็มไมโครไพล์ มีประโยชน์อย่างไร

ประเภทที่ 2 เรียกว่างานเสาเข็ม
เป็นลักษณะงานที่ตรงข้ามกับงานฐานแผ่ เพราะงานฐานแผ่จะเป็นการกระจายน้ำหนักไปทั่วบริเวณ แต่งานเสาเข็มจะมีตัวรับน้ำหนักเป็นเสาเข็มเพียงแค่ต้นเดียว โดยการตอกเสาเข็มลงไปลึกถึงจุดหนึ่ง ที่ผ่านการคำนวณมาแล้วว่าสามารถรับน้ำหนักของตัวบ้าน โดยส่วนมากจะเจาะทะลุชั้นดินอ่อนหรือดินนุ่มที่อยู่ด้านบน ไปลึกจนถึงชั้นดินแข็งเพื่อให้รับน้ำหนักของตัวบ้าน

โดยวันนี้เราจะมาพูดถึงพระเอกของเสาเข็มแบบเข็มตอก นั่นก็คือเสาเข็มไมโครไพล์

เสาเข็มไมโครไพล์คืออะไร

โดยทั่วไปงานเสาเข็มจะแบ่งด้วยกันหลัก ๆ 2 แบบคือ เข็มตอกและเข็มเจาะ เสาเข็มไมโครไพล์ก็เป็นเข็มตอกชนิดหนึ่ง โดยปกติแล้วเข็มตอกโดยทั่วไปจะมีข้อเสียตรงที่ เนื้องานจะต้องใช้พื้นที่ค่อนข้างเยอะเนื่องจากต้องใช้เครนขนาดใหญ่ นอกจากนี้ก็มีปัญหาเรื่องความสั่นสะเทือนและเรื่องเสียงของการตอกที่ค่อนข้างดัง ซึ่งเสาเข็มไมโครไพล์ก็ถูกสร้างขึ้นมาเพื่อแก้ปัญหาในจุดนี้

เสาเข็มไมโครไพล์จะถูกผลิตออกมาให้มีความยาวประมาณ 1.5 เมตร มีแผ่นเหล็กแปะปิดหัวท้าย ในการทำงานจะทำการตอกเสาเข็มทีละ 1 เมตรกว่า ๆ เมื่อลงไปจนถึงระยะหนึ่งก็จะทำการเชื่อมแผ่นเหล็กยึดติดหัวเสาเข็มกับเสาต้นต่อไป แล้วก็ทำการตอกลงไปอีกครั้งหนึ่ง ซึ่งงานแบบนี้จะช่วยลดขนาดของการทำงานให้เล็กลง ลดเสียงและลดแรงสั่นสะเทือนจากการใช้เสาเข็มขนาดใหญ่และเครื่องจักรขนาดใหญ่ ซึ่งงานแบบนี้ก็สามารถตอกเสาเข็มไมโครไพล์ลงไปได้ลึกมากเท่าที่ต้องการไม่ว่าจะเป็น 16 เมตร 18 เมตร หรือ 22 เมตร ก็สามารถทำได้ทั้งสิ้น

เสาเข็มไมโครไพล์ มีประโยชน์อย่างไร

ข้อดีของการใช้เสาเข็มไมโครไพล์

1.ราคา
โดยปกติแล้วเมื่อเทียบกันแบบต้นต่อต้น เสาเข็มแบบตอกแม้จะเป็นขนาดใหญ่ก็จะมีราคาที่ค่อนข้างถูกกว่าเสาเข็มแบบเจาะ แต่เสาเข็มไมโครไพล์สามารถลดปริมาณของต้นทุนลงไปได้มากกว่าเดิม เนื่องจากขนาดงานค่อนข้างเล็ก นั่นเพราะเสาเข็มไมโครไพล์มีความสูงอย่างมากก็ 1.5 เมตร ตัวปั้นจั่นที่ใช้จึงไม่จำเป็นต้องเป็นเครื่องใหญ่ใช้ปั้นจั่นแค่ 3 เมตร ก็เพียงพอ ทำให้ลดขนาดงาน ลดจำนวนคนที่ต้องใช้และลดต้นทุนได้อย่างมาก

2. ใช้งานง่ายเหมาะแก่การต่อเติมบ้าน
อย่างที่เกริ่นไปข้างต้นว่าหลายครั้งเมื่อใช้งานบ้านไปสักระยะนึงก็มีโอกาสที่จะเพิ่มส่วนต่อเติมออกมานอกตัวบ้าน หลายครั้งด้วยการเพิ่มส่วนต่อเติมการใช้เสาเข็มไมโครไพล์ก็ช่วยให้ความแข็งแรงของส่วนต่อเติมเพิ่มขึ้น แล้วลดความเสียหายที่อาจเกิดขึ้นในอนาคตจากอุบัติเหตุและความไม่แข็งแรงของส่วนขยาย ซึ่งโดยทั่วไปแล้วก็จะใช้เสาเข็มไมโครไพล์แบบตัวไอ (ตัว I) ที่ราคาไม่สูงมาก

3. การขนส่งง่าย
เนื่องจากเสาเข็มไมโครไพล์เป็นงานที่มีขนาดเล็กทำให้การขนส่งค่อนข้างง่าย หลายครั้งขนส่งแค่ 1 รอบ 1 คันรถ ก็สามารถขนส่งทั้งหมดไปที่หน้างานได้แล้ว ไม่จำเป็นต้องใช้รถคันใหญ่เหมือนกับเสาเข็มตอกแบบขนาดใหญ่ 18,20,22 เมตร นี่เองก็เป็นเหตุผลที่ทำให้ราคาของการขนส่งถูกกว่า

ในการเลือกใช้เสาเข็มไมโครไพล์สิ่งที่จำเป็นและสำคัญที่สุดในการเลือกคือเรื่องของคุณภาพและรูปแบบของการใช้งาน
ซึ่งเสาเข็มไมโครไพล์มีด้วยกันทั้งหมด 3 แบบ

เสาเข็มไมโครไพล์ มีประโยชน์อย่างไร

แบบแรกเรียกว่าเสาเข็มสปัน มีลักษณะเป็นทรงกระบอกมีรูกลมตรงกลาง เป็นเสาเข็มที่ถูกผลิตมาให้มีความแข็งแรงมากที่สุด และทนทานมากที่สุดในบรรดารูปแบบของเสาเข็มไมโครไพล์ทั้งหมด

แบบที่ 2 เรียกว่าเสาเข็มแบบตัวไอ เป็นเสาเข็มที่ถูกออกแบบมาให้มีลักษณะคล้ายกับตัวไอ โหลดงานค่อนข้างน้อย ทำให้เหมาะกับงานทั่วไปที่ไม่ใหญ่มากอย่างเช่นงานต่อเติมบ้านเป็นต้น

แบบที่ 3 เรียกว่าเสาเข็มหน้าตัดเหลี่ยม ลักษณะโดยทั่วไปก็คล้ายกับเสาเข็มตัวไอ เพียงแต่ไม่มีส่วนเว้าเหมือนตัวไอ จะเป็นเสาแท่งตรงหน้าตัด 4 เหลี่ยม ทำให้มีความแข็งแรงและรับน้ำหนักได้มากกว่าแบบตัวไอ

ทั้งหมดนี้ก็คือข้อมูลเบื้องต้นในการเลือกใช้เสาเข็มไมโครไพล์ โดยท่านสามารถเลือกใช้เสาเข็มเหล่านี้ให้เหมาะกับขนาดงานที่ต้องการจะใช้ได้ และที่สำคัญที่สุดในการเลือกใช้แต่ละครั้งจะดูเรื่องมาตรฐานการผลิตหรือ มอก. ซึ่งเป็นมาตรฐานที่สำคัญในการเลือกใช้วัสดุก่อสร้างทุกชนิด สุดท้ายหวังว่าบทความนี้จะเป็นประโยชน์ และมีส่วนช่วยในการเลือกใช้เสาเข็มไมโครไพล์

เหล็กเคลือบกัลวาไนซ์คืออะไร ดีกว่าเหล็กทั่วไปอย่างไร

เหล็กเคลือบกัลวาไนซ์คืออะไร ดีกว่าเหล็กทั่วไปอย่างไร

ในงานโครงสร้างต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็น อาคาร บ้านเรือน ในปัจจุบันล้วนแล้วแต่ต้องใช้โครงสร้างที่ทำจากเหล็กแทบทั้งสิ้น ไม่ว่าจะเป็นโครงเหล็ก โครงหลังคา หรือโครงสร้างที่ต้องการความแข็งแรงล้วนแต่มีเหล็กเข้ามาเกี่ยวข้อง ซึ่งสิ่งที่จะตามมาหลังจากใช้โครงสร้างเหล็กคือ สนิม ดังนั้นการใช้เหล็กเคลือบกัลวาไนซ์จึงเป็นหนึ่งวิธีที่ช่วยลดการเกิดสนิม และเพิ่มอายุการใช้งานของโครงสร้างนั้น ๆ มากขึ้นหลายเท่าตัว

เหล็กเคลือบกัลวาไนซ์คืออะไรและกันสนิมได้อย่างไร

อย่างที่ทราบดีว่าโครงสร้างเหล็กเมื่อใช้ไปนาน ๆ ตามอายุการใช้งานจะมีการเกิดสนิมขึ้นอย่างแน่นอน โดยเฉพาะโครงสร้างที่มีความเสี่ยงในการโดนน้ำก็จะยิ่งมีโอกาสเกิดสนิมได้เร็วขึ้น ดังนั้นจึงมีการคิดค้นนวัตกรรมสำหรับป้องกันการเกิดสนิมขึ้นมาหลายต่อหลายอย่าง ซึ่งเหล็กเคลือบกัลวาไนซ์ก็เป็นหนึ่งในนั้น

เหล็กเคลือบกัลวาไนซ์คืออะไร ดีกว่าเหล็กทั่วไปอย่างไร

กระบวนการทำของเหล็กเคลือบกัลป์วาไนซ์คือ การนำเหล็กทั่วไปที่จะนำไปใช้งาน มาชุบเคลือบผิวนอกด้วยสังกะสีเหลว ซึ่งวิธีนี้เรียกว่า การชุบร้อนหรือ Hot – Dip Galvanized โดยจะเป็นการนำเหล็กไปผ่านขั้นตอน กำจัดคราบไขมัน , จุ่มน้ำ , จุ่มกรด , จุ่ม Flux , จุ่มสังกะสีหลอมเหลว และจุ่มน้ำ ตามลำดับ

โดยวิธีนี้จะช่วยให้เหล็กที่อยู่รอบนอกถูกเคลือบไปด้วยสังกะสี โดยชุด 1 ครั้งมากกว่า 100 ไมครอนขึ้นไป ซึ่งคุณสมบัติของสังกะสีโดยทั่วไปจะเป็นสนิมได้ยากกว่าเหล็กอยู่แล้ว เมื่อเหล็กจะมีการเกิดสนิมตัวกัลวาไนซ์ที่เคลือบอยู่จะเกิดสนิมก่อนเหล็ก ซึ่งทำให้เหล็กไม่ผุกร่อนและใช้งานได้ยืนยาวมากยิ่งขึ้น โดยทั่วไปแล้วอายุการใช้งานจะเพิ่มขึ้น 10 ถึง 20 ปี โดยไม่ต้องทาสีกันสนิมเลย

ข้อดีของการใช้เหล็กเคลือบกัลวาไนซ์

1. มีความคงทนใช้งานได้ยาวนานโดยเคลือบ 1 ครั้งสามารถยืดอายุการใช้งานมากถึง 10 ถึง 20 ปี
2. เนื่องจากเป็นการเคลือบตลอดตัวเหล็ก ทำให้ทุกส่วนของเหล็กมีความหนาของกัลวาไนซ์เท่า ๆ กัน ไม่ต้องมีความเสี่ยงว่า อันไหนที่เคลือบมากกว่าหรือน้อยกว่า
3. มองจากภายนอกแล้วดูสวยงาม เนื่องจากเป็นสีของสังกะสีทำให้มีการสะท้อนแสงและเงา ดูสวยงามโดยเฉพาะโครงสร้างที่อยู่ในร่มและมองเห็นได้

เหล็กเคลือบกัลวาไนซ์คืออะไร ดีกว่าเหล็กทั่วไปอย่างไร

 

ข้อสังเกตที่ต้องรู้ก่อนเลือกใช้ เหล็กเคลือบกัลวาไนซ์

1. เนื่องจากงานเหล็กเคลือบกัลวาไนซ์ เป็นการเคลือบตลอดทั้งตัวเหล็ก ทำให้ไม่เหมาะกับงานที่จะต้องมีการตัดเหล็ก เจาะเหล็ก หรือเชื่อมเหล็กเยอะ ๆ เพราะเมื่อตัดหรือเจาะส่วนที่ตัดออกไป ก็จะเผยให้เห็นตัวเนื้อเหล็กซึ่งบริเวณนั้นไม่ได้มีการเคลือบกัลวาไนซ์ ทำให้หน้าตักที่โดนตัดตรงนั้นอาจเกิดสนิมขึ้นเร็วกว่าส่วนอื่น ซึ่งปกติแล้วจะเป็นบริเวณข้อต่อด้วยทำให้มีโอกาสสึกหรอได้มากขึ้น

2. เนื่องจากตัวกัลป์วาไนซ์หากโดนความร้อนสูงหรือมีการเชื่อม ไอที่ออกมาจากกันวันไหนจะเป็นพิษต่อร่างกาย ทำให้ตัวช่างหรือคนที่ทำงานหน้างานมีโอกาสเกิดอันตรายขึ้นได้ นอกจากนี้หากมีการเชื่อมก็จะทำให้คุณสมบัติของกัลวาไนซ์ หายไปเช่นกัน

ดังนั้นเพื่อป้องกันปัญหานี้ ควรที่จะทำงานแบบมีการเชื่อมหรือจำเป็นต้องใช้การเชื่อมจริง ๆ ก็ให้เตรียมการป้องกันแก๊สพิษเอาไว้ให้ดี เมื่อเชื่อมเสร็จแล้วก็หากัลวาไนซ์แบบกระป๋องมาทาทับหรืออาจใช้สีกันสนิมมาทาทับรอยเชื่อมก็ได้

จากข้อสังเกต 2 ข้อที่ผ่านมาจึงสรุปได้ว่า จุดเด่นของกัลป์วาไนซ์คือ เรื่องความแข็งแรง ความทนทาน อายุการใช้งาน มีจุดอ่อนที่งานช่างที่ซับซ้อน ดังนั้นจึงเหมาะกับงานประเภทที่ต้องมีการทำโครงสร้างมาก่อนจากโรงงาน และทำการระบุให้กับโรงงานว่า เมื่อขึ้นโครงเสร็จแล้วให้นำโครงไปชุบกัลวาไนซ์ทีหลัง หรือตระเตรียมเหล็กแต่ละส่วนตามแบบแปลนให้เรียบร้อยก่อนจะชุบไม่ว่าจะเป็นการตัดการเจาะรูเพื่อขันนอตก็ตาม จากนั้นก็ใช้ตัวนอตที่เชื่อมกัลวาไนซ์เช่นกัน ในการก่อสร้างแบบนี้ตัวเล็กก็จะไม่มีปัญหาเรื่องรอยต่อหรือรอยสักอย่างที่กล่าวมาข้างต้น

เหล็กเคลือบกัลวาไนซ์คืออะไร ดีกว่าเหล็กทั่วไปอย่างไร

 

โดยสรุปแล้วเหล็กเคลือบกัลวาไนซ์ถือเป็นหนึ่งตัวเลือกที่ดีมากสำหรับใครก็ตามที่ต้องการจะใช้งานโครงสร้างเหล็ก และต้องการจะป้องกันสนิมในระยะยาวเพื่อยืดอายุการใช้งานตั้งแต่ 10 ปีขึ้นไป โดยเหล็กเคลือบกัลวาไนซ์เหมาะกับงานประเภทโครงสร้างสำเร็จรูป ที่มีการออกแบบและขึ้นรูปมาตั้งแต่ที่โรงงานแล้ว

ข้อแนะนำ งานโครงสร้างเหล็กเคลือบกัลวาไนซ์ จะเหมาะมากกับสิ่งปลูกสร้างที่อยู่ใกล้กับชายทะเล เนื่องจากเหล็กที่อยู่ใกล้กับชายทะเลหากเป็นสนิมขึ้นแม้แต่นิดเดียว ตัวสนิมจะลามเร็วมาก ดังนั้นจึงเหมาะกับการใช้เหล็กเคลือบกัลป์วาไนซ์
มากกว่าการใช้สีกันสนิมแบบทั่ว ๆ ไป เพราะสามารถยืดอายุการใช้งานได้ถึง 10 ปี แต่ทั้งนี้ ก็ขึ้นอยู่กับความชอบและรสนิยมของเจ้าของบ้านเช่นกัน

3 วิธีแก้ปัญหาบ้านทรุดเป็นโพรง

3 วิธีแก้ปัญหาบ้านทรุดเป็นโพรง

คุณเคยเจอปัญหาหรือเคยเจอบ้านหลังไหนที่มีปัญหาบ้านทรุดใต้ตัวบ้านเป็นโพรงไหมครับ บ้านบางหลังทรุดน้อยหน่อยก็เป็นโพรงไม่มาก แต่บ้านบางหลังพื้นดินทรุดตัวมากก็มีโอกาสเป็นโพรงมากกว่า 10 cm. ก็มี ซึ่งปัญหาตัวบ้านทรุดเป็นโพรงมักเกิดขึ้นบ่อยมาก กับดินบริเวณภาคกลาง เนื่องจากตัวพื้นดินเป็นที่ราบลุ่มกับเก็บน้ำ ทำให้มีโอกาสทรุดตัวได้ง่ายมาก ดังนั้นจะแก้ไขหรือป้องกันปัญหานี้ได้อย่างไรบ้างวันนี้มีคำตอบ

3 วิธีแก้ปัญหาบ้านทรุดเป็นโพรง

สาเหตุของปัญหาบ้านทรุดเป็นโพรง

ในปัจจุบันนี้โดยทั่วไปเวลาสร้างบ้านมักนิยมสร้างบ้านให้ตัวบ้านยกสูงขึ้นจากพื้น อาจยกสูงขึ้นครึ่งเมตรบ้าง 1 เมตรบ้าง แล้วแต่การออกแบบ โดยช่วงแรกหลังจากที่สร้างเสร็จใหม่ๆก็ไม่ได้มีปัญหาอะไรเกิดขึ้น แต่พอผ่านไป 1-2 ปีเจ้าของบ้านหลายท่านน่าจะเคยเห็นปัญหา ว่าพื้นดินบริเวณตัวบ้านมีการทรุดตัวลงไปทำให้มองเห็นเป็นโพรงเข้าไปข้างใต้บ้าน

เมื่อเกิดปัญหาบ้านทรุดจนเป็นโพรงที่มีขนาดใหญ่แบบนี้ หนึ่งในปัญหาที่ค่อนข้างใหญ่และมักจะตามมาเลยคือ สัตว์เลื้อยคลานต่าง ๆ มีโอกาสที่จะเข้าไปทำรังหรืออยู่อาศัยใต้บ้าน ไม่ว่าจะเป็นงูหรือตัวเงินตัวทอง

โดยสาเหตุหลัก ๆ ก็จะมาจากสภาพแวดล้อมในบริเวณที่บ้านตั้งอยู่ ในบางพื้นที่โดยเฉพาะภาคกลางมีโอกาสที่ 1 ปีดินจะทรุดตัวลงไปมากกว่า 10 เซนติเมตร แม้ตอนเริ่มต้นจะมีการออกแบบท้องคานให้จมลงไปในดิน 10-20 cm แล้วก็แล้วแต่ หากใช้งานไปนาน ๆ 2-3 ปีขึ้นไปก็มีโอกาสที่แผ่นดินจะทรุดมากกว่าท้องคานที่จมอยู่ในดิน ทำให้เห็นเป็นร่องเป็นโพรง อย่างไรก็ดีคุณไม่จำเป็นต้องกังวลในเรื่องของการทรุดหรือพังของตัวบ้าน เนื่องจากสิ่งที่ทรุดลงไปเป็นแค่ดินเท่านั้น หากบ้านตั้งอยู่บนเสาเข็มบ้านจะยังคงแข็งแรงไม่ทรุดตัวตามพื้นดิน

หลังจากทราบสาเหตุแล้วเรามาดูกันดีกว่าว่าจะแก้ปัญหาได้อย่างไรบ้าง

3 วิธีแก้ปัญหาบ้านทรุดเป็นโพรง

3 วิธีแก้ปัญหาบ้านทรุดเป็นโพรง

1. ถมหน้าดิน เพื่อปรับพื้นผิว
วิธีแรกเป็นวิธีแก้ปัญหาที่ง่ายและรวดเร็ว แต่อาจต้องแก้ปัญหาซ้ำ ๆ ทุก 2-3 ปี ซึ่งวิธีการก็ง่ายนิดเดียวครับ เพียงแค่คุณนำดินมาถมเข้าไปในช่องว่างที่เกิดการทรุดตัว จากนั้นก็อาจจะปรับหน้าดินให้สวยงามก่อนจะปลูกหญ้าหรือลงหญ้าเทียมหรือปรับทัศนียภาพตามต้องการ

ข้อดีคือประหยัดค่าใช้จ่ายและใช้เวลาไม่นาน แต่ข้อเสียของวิธีนี้คือจะคงอยู่ไม่นานและต้องมาทำซ้ำทุกครั้งที่บ้านทรุดและเป็นโครงอีก ซึ่งก็มักเกิดขึ้นในช่วง 2-3 ปีหลังจากที่ทำ

3 วิธีแก้ปัญหาบ้านทรุดเป็นโพรง

2. ทำคานคอดิน
การทำคานดินจะเป็นการแก้ปัญหาที่ค่อนข้างถาวร แต่แน่นอนก็ต้องแลกมาด้วยการทำงานที่ค่อนข้างใหญ่ ใช้งบประมาณที่เยอะ

โดยวิธีการคือจะให้ช่างเข้ามาทำการขุดพื้นที่โดยรอบบ้านลงไป ซึ่งโดยทั่วไปจะขุดลึกประมาณ 50-60 เซนติเมตรเผื่อการทรุดตัวในอนาคตด้วย เมื่อทำการรื้อพื้นที่เสร็จแล้วก็ทำการปูคานยึดระหว่างเสาตอหม้อแต่ละต้นที่อยู่ใต้ดิน โดยทำการก่อคานแบบนี้เชื่อมต่อกันกับเสาทุกต้น เมื่อได้คานปูนตัวใหม่ขึ้นมาแล้ว ก็ก่ออิฐจากตัวคานใหม่ขึ้นมาชนคานเก่าของตัวบ้าน จากนั้นค่อยปรับแต่งทัศนียภาพโดยรอบของตัวบ้านอีกครั้ง

วิธีนี้เป็นวิธีที่ได้ผลในระยะยาว คงทน แข็งแรง แต่ก็แลกมาด้วยงบประมาณที่ค่อนข้างสูงและใช้เวลาค่อนข้างนาน แต่ถ้าเกิดว่าคุณยังไม่ได้สร้างบ้านมีแค่แบบแปลนบ้านอยู่ ก็แนะนำว่าให้ดูแบบแปลนเลยว่าตัวคานถึงเสาตอม่อขุดลงไปลึกแค่ไหน ถ้าไม่ลึกมากแค่ 20-30 เซนติเมตร ก็ให้ใช้วิธีด้านบนคือ ก่อคานลงไปลึก 50-60 cm ก่อนจะทำคานขึ้นมาที่ตัวบ้านตั้งแต่แรก ก็จะหมดปัญหาบ้านทรุดจนเป็นโพรงแล้ว

3 วิธีแก้ปัญหาบ้านทรุดเป็นโพรง

3. หาอะไรมาวางปิดไว้
วิธีนี้เป็นวิธีแก้ที่ง่ายที่สุดเร็วที่สุดและเปลืองงบประมาณน้อยที่สุด โดยอาจใช้วิธีการปลูกต้นไม้บังบริเวณนั้นไว้เพื่อไม่ให้เรามองเห็น หรืออาจนำอิฐมาวางปิดบริเวณนั้นไว้แล้วปูดินรอบ ๆ เพื่อปลูกต้นไม้ก็เป็นอีกหนึ่งทางเลือกที่ดี ซึ่งวิธีนี้ก็พบได้บ่อยตามบ้านจัดสรรที่สร้างมานานแล้ว และเจ้าของบ้านไม่อยากจะวุ่นวายกับการทำงานของช่าง แต่วิธีนี้ก็มีข้อเสียที่ บริเวณใต้บ้านยังคงทรุดตัวอยู่เหมือนเดิม ก็มีโอกาสที่สัตว์จะเข้าไปทำรังหรืออยู่อาศัยและมีโอกาสที่น้ำจะเข้าไปขังใต้ตัวบ้านอยู่ดี

ทั้งหมดนี้คือวิธีการในการแก้ปัญหาพื้นทรุดตัวจนเห็นเป็นโพรงใต้บ้าน แต่ละวิธีก็มีข้อดีข้อเสียแตกต่างกัน คุณสามารถนำวิธีเหล่านี้ไปปรับใช้กับบ้านของคุณตามแต่ความเหมาะสม ความต้องการ และงบประมาณของคุณได้เลยครับ

หากคุณยังมีข้อสงสัยหรือต้องการหาข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับการสร้างบ้านหรืออุปกรณ์เกี่ยวกับบ้านทั้งหลายสามารถดูข้อมูลเพิ่มเติมจากบทความคนอื่นในเว็บไซต์ของเราได้เลยครับ สุดท้ายหวังว่าบทความนี้จะมีประโยชน์และช่วยให้คุณทราบข้อมูลและวิธีแก้ปัญหาบ้านเกิดโพรงจากการที่ดินทรุดตัว

 

การดูแลไม้พื้นลามิเนตแบบง่ายง่าย

ไม้พื้นลามิเนต ได้รับความนิยมเป็นอย่างมากในยุคปัจจุบัน เพราะน้ำหนักเบา ราคาถูก ติดตั้งง่าย แข็งแรงทนทาน ทนต่อการขีดข่วน แถมยังมีลวดลายสวยงามใกล้เคียงกับไม้จริง แต่ข้อเสียคือโดนน้ำนาน ๆ ไม่ได้ อาจทำให้ไม้บวม การดูแลรักษาจึงต้องทำอย่างระมัดระวัง

วิธีการดูแลรักษา ทำความสะอาด ไม้พื้นลามิเนต
1. ปกป้องพื้นลามิเนตจากคราบสกปรกและรอยขีดข่วนคือ การหมั่นทำความสะอาดเป็นประจำ ด้วยการถูพื้นด้วยผ้าแห้ง ๆ

2.ในกรณีพื้นสกปรกมาก ให้ใช้น้ำอุ่นเป็นตัวช่วยกำจัดฝุ่นและคราบสกปรกเพราะมีความอ่อนโยน

3.ทุกครั้งที่มีของเหลวหยดใส่พื้นให้รีบทำความสะอาดทันที ห้ามปล่อยแช่ทิ้งไว้เป็นอันขาด เพราะอาจก่อให้เกิดความเสียหายกับตัวเคลือบจนพื้นไม้บวมได้ โดยให้เช็ดออกด้วยผ้าแห้งหรือกระดาษทิชชู

4. กำจัดคราบหนักๆอย่างเช่น คราบหมึก ยาทาเล็บ ยาขัดรองเท้า ฯลฯ ด้วยการเช็ดพื้นด้วยแอลกอฮอล์ หรือ ถ้ากลัวพื้นเสียหายนำแอลกอฮอล์ผสมกับน้ำเปล่าเพื่อเจือจาง หรือ ใช้น้ำยาล้างเล็บเช็ดกับสำลี

5.ควรหลีกเลี่ยงการทำความสะอาดพื้นด้วยน้ำยาทำความสะอาดที่มีฤทธิ์กัดกร่อนทุกประเภท เพราะอาจสร้างความเสียหายแบบถาวร

6. ในกรณีที่มีคราบเหนียวอย่างขี้ผึ้งหรือหมากฝรั่งติดพื้น ให้ถูน้ำแข็งลงบนคราบดังกล่าวและค่อย ๆ ขูดออกอย่างเบามือ

รู้วิธีดูแลรักษา ทำความสะอาด พื้นลามิเนต กันแล้วก็อย่าลืมนำไปใช้กันนะ เพื่อจะคงทนความสวยงามของพื้นบ้านเราได้ ให้อยู่กับเราไปนานๆ

เครดิต
facebook.com/SuksawadTimber
เครดิตภาพ
https://www.helpdee.com/