ฉนวนกันความร้อนในบ้านควรเลือกแบบไหนดี

ฉนวนกันความร้อนในบ้านควรเลือกแบบไหนดี

หนึ่งในปัญหาหลักที่มักจะเกิดขึ้นหลังจากที่เจ้าของบ้านย้ายเข้าไปอยู่อาศัยในตัวบ้านแล้วมีด้วยกันหลัก ๆ 2 ปัญหา ปัญหาความร้อนภายในบ้าน แล้วปัญหาเสียง โดยในบทความนี้ผมจะมาพูดถึงวิธีการแก้ปัญหาปัญหาความร้อนของตัวบ้าน ด้วยการใช้ฉนวนกันความร้อนนั่นเอง

ฉนวนกันความร้อนในบ้านควรเลือกแบบไหนดี

ปัญหาความร้อนในบ้านส่งผลอย่างไร

อย่างที่ทราบกันดีว่าปัญหาความร้อนภายในตัวบ้านไม่ได้เป็นปัญหาเรื่องความร้อนอย่างเดียว แต่รวมถึงสุขภาพจิตสภาพอารมณ์และสุขภาพกายของตัวผู้อยู่อาศัยด้วยเช่นกัน

ปัญหาด้านสุขภาพร่างกาย
ปัญหาที่มักเกิดขึ้นกับเจ้าของบ้านที่ตัวบ้านร้อนเกินไป ในกรณีที่ทำงานอยู่ที่บ้าน หรือไม่ได้ออกไปไหนในเวลากลางวัน ตัวบ้านร้อนเกินไปก็มีโอกาสเกิดการเป็นลมได้ หรือหากตอนกลางคืนแล้วตัวบ้านยังคงกักเก็บความร้อนเอาไว้อยู่ ก็จะทำให้ผู้อยู่อาศัยพักผ่อนไม่เพียงพอ นอนหลับไม่สนิท ส่งผลต่อสุขภาพในระยะยาว

ปัญหาค่าใช้จ่ายเกินจำเป็น
แม้ปัจจุบันบ้านจะติดเครื่องปรับอากาศเพื่อทำความเย็นแล้วก็ตาม แต่หากตัวบ้านกักเก็บความร้อนไว้ได้ดีและถ่ายเทความร้อนได้ไม่ดี ก็มีโอกาสที่เครื่องใช้ไฟฟ้าจะทำงานหนัก ส่งผลให้สูญเสียค่าไฟฟ้ามากเกินความจำเป็น

ทั้งหมดนี้คือผลเสียที่จะเกิดขึ้นได้ แค่เพียงมีปัญหาเล็ก ๆ อย่างบ้านร้อนเกินไป ดังนั้นเรามาดูกันดีกว่าว่าฉนวนกันความร้อนสำหรับตัวบ้านที่ดีควรมีลักษณะอย่างไรบ้าง

 

4 คุณสมบัติของฉนวนกันความร้อนที่ดี

ฉนวนกันความร้อนในบ้านควรเลือกแบบไหนดี

1. คุณสมบัติการทนไฟ
คุณสมบัติการทนไฟคือคุณสมบัติที่ตัวฉนวนจะสามารถทนต่อเปลวไฟได้เป็นอย่างดี เมื่อโดนไฟแล้วไม่ระเหยออกมาเป็นแก๊สพิษ ด้วยคุณสมบัตินี้มีความจำเป็นอย่างมาก แต่หลายคนอาจจะมองข้ามเพราะรู้สึกว่าบ้านของฉันคงไม่เกิดไฟไหม้หรอก แต่อย่าลืมนะครับเราซื้อร่มเราไม่อยากให้ฝนตก เรามีฉนวนทนไฟไม่ได้แปลว่าไม่อยากให้เกิดไฟไหม้ เพียงแต่หากเกิดเรื่องไม่คาดฝันขึ้นมาสิ่งเหล่านี้แหละที่จะเป็นตัวช่วยยืดเวลา ให้เราสามารถเข้าไปช่วยชีวิตของคนที่เรารักได้ทันเวลา

2. คุณสมบัติกันความร้อน
แน่นอนว่าพูดถึงฉนวนกันความร้อนสำหรับตัวบ้านจะไม่พูดถึงคุณสมบัติกันความร้อนก็คงไม่ได้ ด้วยคุณสมบัติกันความร้อนที่ดีจะต้องสามารถกันความร้อนได้สูง โดยทั่วไปจำนวนที่มีคุณภาพจะป้องกันความร้อนได้ถึง 400 – 600 องศาเป็นต้นไป และยังต้องทนทานสามารถใช้งานได้นานและมีความเสถียรในการกันความร้อนได้เป็นอย่างดี เมื่อนำไปปูบนชั้นหลังคาหรือปูที่กำแพงก็สบายใจได้เลยว่าความร้อนจากภายนอกจะไม่ทะลุเข้ามาภายในอย่างแน่นอน

ฉนวนกันความร้อนในบ้านควรเลือกแบบไหนดี

3. ความคงทนและอายุการใช้งาน
คุณสมบัติความทนทานจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องเป็นคุณสมบัติหลักที่ควรพิจารณา โดยฉนวนที่มีความทนทานสูงอายุการใช้งานยาวนานหลัก ๆ จะมีด้วยกัน 2 ชนิด คือ ฉนวนใยแก้ว และฉนวนใยหิน หากใช้ในงานทั่วไปไม่ว่าจะเป็นงานอาคารหรือบ้านเรือนที่ไม่ได้ต้องเจอความร้อนสูงมากนัก เจอเพียงความร้อนจากแดดธรรมชาติ ก็มีอายุการใช้งานตั้งแต่ 5 – 10 ปี ขึ้นไป

ฉนวนกันความร้อนในบ้านควรเลือกแบบไหนดี

4. คุณสมบัติการกันน้ำ
เรื่องคุณสมบัติด้านน้ำและความชื้นก็เป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่จะต้องดูให้ดี เพราะแม้ฉนวนนั้นจะป้องกันความร้อนได้เป็นอย่างดี แต่กลับสะสมความชื้นและไอน้ำไว้กับตัวเองมาก ๆ นั่นก็แปลว่าอะไร ชั้นนั้นก็อาจจะเกิดเชื้อราขึ้นได้ และส่งผลเสียมากกว่าผลดีในระยะยาว ดังนั้นฉนวนที่มีคุณสมบัติกันน้ำกันความชื้นจึงมีความจำเป็น

ทั้ง 4 ข้อนี้คือคุณสมบัติสำคัญที่ไม่ควรมองข้ามถ้าจะมองหาฉนวนกันความร้อนในตัวบ้าน อย่างไรก็ดีทั้งหมดนี้ก็ขึ้นอยู่กับความต้องการ รสนิยม และงบประมาณของแต่ละท่านด้วยเช่นกัน

คลิกติดต่อสั่งซื้อสินค้า

สินค้าแนะนำ

วิธีเลือกผนังกันเสียง ควรเลือกใช้อย่างไร ให้เหมาะกับบ้านของเรา

วิธีเลือกผนังกันเสียง ควรเลือกใช้อย่างไร ให้เหมาะกับบ้านของเรา

วิธีเลือกผนังกันเสียง ควรเลือกใช้อย่างไร ให้เหมาะกับบ้านของเรา

สำหรับที่อยู่อาศัยไม่ว่าจะเป็นบ้านหรือคอนโด ท่านก็ต้องคาดหวังการพักผ่อนที่ดีต่อทั้งสุขภาพกายและสุขภาพจิต แต่สิ่งนึงที่มักจะมีปัญหาและส่งผลต่อสุขภาพจิตคือ มลภาวะทางเสียง ด้วยปัญหานี้มักจะเกิดขึ้นกับบ้านหรือคอนโดที่มีการกั้นผนังที่ไม่สามารถกันเสียงได้ดี ดังนั้นในบทความนี้ผมจึงอยากจะมาแนะนำวิธีการเลือกใช้ผนังกันเสียง ให้สามารถกันเสียงได้จริงไม่ทำร้ายสุขภาพจิตของตัวท่านและผู้อยู่อาศัยคนอื่น

สิ่งที่ทุกคนน่าจะรู้กันอยู่แล้วคือ การที่เสียงจะทะลุผ่านห้องแต่ละห้องได้ ก็ขึ้นอยู่กับว่าผนังที่นำมากั้นห้องแต่ละห้องนั้นเป็นผนังชนิดใดและรูปแบบหรือวิธีการก่อเป็นแบบใด โดยหลัก ๆ แล้ว วัสดุที่มักนำมาใช้ก่อผนังก็จะมีด้วยกัน 2 อย่างคือ อิฐมวลเบาและอิฐมอญ หรือถ้าเป็นรูปแบบของผนังเบาก็จะเป็น โครงกัลวาไนซ์ 75 mm. กรุด้วยยิปซั่มหนา 12 mm. 2 ด้าน

วิธีเลือกผนังกันเสียง ควรเลือกใช้อย่างไร ให้เหมาะกับบ้านของเรา

มาตรฐานการกันเสียง STC

ก่อนจะพูดถึงความสามารถในการกันเสียงของวัสดุแต่ละชนิดว่ามีดีมีด้อยต่างกันอย่างไร ท่านจำเป็นต้องรู้จักกับหน่วยวัดค่าความสามารถในการกันเสียงก่อน โดยหน่วยวัดนั้นจะถูกเรียกว่า STC (Sound Transmission Class) ซึ่งเป็นค่ากลางในการกำหนดมาตรฐานการกันเสียงของวัสดุแต่ละชนิด โดยยิ่งค่า STC สูงยิ่งสามารถกันเสียงได้มาก สินค้า STC จะถูกกำหนดเป็นช่วงระยะ โดยระยะตั้งแต่ 40 ขึ้นไปจึงจะสามารถกันเสียงได้ในระดับการใช้งานปกติ

จากนั้นเรามาดูกันดีกว่าว่าวัสดุแต่ละชนิดมีค่า STC อยู่ที่เท่าไหร่
อย่างแรกคืออิฐมอญซึ่งเป็นที่นิยมกันมากจะมีค่า STC อยู่ที่ 44 ซึ่งถือว่าเป็นค่าที่อยู่ในระดับทั่วไปสามารถใช้งานได้ กันเสียงได้ในระดับปกติเหมาะกับห้องทั่วไปในการใช้ชีวิตประจำวัน

ต่อมาคือผนังอิฐมวลเบาจะมีค่า STC อยู่ที่ 38 และผนังยิปซั่มจะมีค่า STC อยู่ที่ 36 ต้องการกันเสียงที่ค่อนข้างน้อยกว่าอิฐมอญ โดยเฉพาะผนังยิปซั่มจะมีค่ากันเสียงที่น้อยมาก ๆ เรียกว่าข้างห้องทำอะไรก็ได้ยินไปหมด แต่ก็ไม่ใช่ว่าผนังหรือวัสดุที่มีค่า STC ต่ำจะไม่สามารถนำมาใช้ได้ เพราะเราสามารถนำฉนวนกันเสียงมาใช้ติดเข้าไปกับตัวผนังเพื่อให้ผนังสามารถกันเสียงได้ดียิ่งขึ้นได้

วิธีเลือกผนังกันเสียง ควรเลือกใช้อย่างไร ให้เหมาะกับบ้านของเรา

แล้วจะเลือกฉนวนกันเสียงอย่างไรให้มีประสิทธิภาพ?

ในการเลือกฉนวนกันเสียงจำเป็นจะต้องเลือกโดยอิงตามคุณสมบัติของตัวฉนวนนั้น ๆ โดยคุณสมบัติที่สำคัญที่สุดของฉนวนกันเสียงคือ ต้องเป็นฉนวนที่ไม่ติดไฟและไม่ลามไฟเด็ดขาด เพราะเป็นวัสดุสำหรับภายในบ้าน การกันไฟจึงเป็นคุณสมบัติที่สำคัญที่สุดเป็นอันดับ 1 นอกจากนี้ก็ควรเป็นสารอนินทรีย์ซึ่งจะทำให้ไม่มีปัญหาเรื่องความชื้นและเชื้อรา และที่สำคัญคือต้องไม่มีสาร CFC ไม่มีแร่ใยหินซึ่งเป็นอันตรายต่อสุขภาพ โดยฉนวนกันความร้อนโดยทั่วไปจะถูกผลิตออกมาเป็นแผ่นให้เหมาะกับการใช้งาน มีความหนาตั้งแต่ 50 mm. 70 mm. และ 100 mm.

เมื่อรู้คุณสมบัติของวัสดุแต่ละชนิดแล้ว รู้ว่าต้องเลือกฉนวนกันเสียงแบบไหน ก็มาดูที่ความสามารถในการกันเสียงเมื่อใช้ฉนวนกันเสียงร่วมกับวัสดุต่าง ๆ

วิธีเลือกผนังกันเสียง ควรเลือกใช้อย่างไร ให้เหมาะกับบ้านของเรา

1. ผนังเบาโครงกัลวาไนซ์ 75 mm. กรุด้วยยิปซั่มหนา 12 mm. 2 ด้าน
เมื่อนำผนังเบาซึ่งเป็นโครงยิปซั่มรวมเข้าไปกับแผ่นฉนวนกันเสียงที่มีความหนาตั้งแต่ 50 mm. ขึ้นไป จากเดิมที่กันเสียงได้แค่ 36 STC เพิ่มเป็น 42 STC ซึ่งการทำแบบนี้เป็นวิธีการที่แนะนำมากที่สุด เพราะเป็นงานแห้ง เสร็จงานเร็ว ติดตั้งง่าย สามารถทำเสร็จภายในเวลาแค่ไม่กี่ชั่วโมง

2. ผนังมวลเบา 2 ชั้น
การทำงานแบบนี้จะเป็นการใช้ผนังมวลเบาก่อขึ้นมา 2 ชั้น เว้นตรงกลางระหว่างทั้งสองข้างเอาไว้ให้มีความหนาประมาณ 50 mm. จากนั้นก็อุดตรงกลางด้วยฉนวนกันเสียงหนา 50 mm หากใช้วิธีนี้จากเดิมที่อิฐมวลเบามีค่าการกันเสียงอยู่แค่ 38 STC จะเพิ่มมาเป็น 68 STC ซึ่งเป็นการกั้นเสียงที่ดีเป็นอย่างมาก เหมาะกับใช้ในห้องประชุม หรือห้องนอนที่อยู่ใกล้กับถนนหรือใกล้กับบริเวณที่มีเสียงดังมาก ๆ หากใช้รูปแบบการติดตั้งแบบนี้ต่อให้ข้างนอกจะมีเสียงดังก็สามารถนอนหลับได้อย่างสบาย

3. การเบิ้ลผนัง
จะเป็นการแก้ปัญหาที่ค่อนข้างปลายเหตุ โดยผนังเดิมอาจก่อด้วยอิฐมวลเบาซึ่งกันเสียงได้ไม่ดีนัก วิธีนี้จะทำการตีโครงยิปซั่มขึ้นมาแนบติดเข้าไปกับตัวผนังเดิม ก่อนจะกรุยิปซั่มเข้าไป ให้กรุด้วยฉนวนกันความร้อนความหนา 50 mm. เข้าไปก่อน แล้วค่อยปิดยิปซั่ม 12 mm. ตามทีหลัง จะช่วยเพิ่มค่าการกันเสียงได้มากถึง 55 STC เท่านี้ก็สามารถใช้งานได้แล้ว

การแก้ปัญหาในรูปแบบการเบิ้ลผนัง เป็นการแก้ปัญหาที่เหมาะสำหรับเจ้าของคอนโดซื้อคอนโดไปแล้วมีปัญหาเสียงรบกวน เพราะไม่สามารถแก้ปัญหาที่ต้นเหตุด้วยการก่อผนังขึ้นมาใหม่ได้วิธีนี้จึงเหมาะเป็นอย่างยิ่ง

วิธีเลือกผนังกันเสียง ควรเลือกใช้อย่างไร ให้เหมาะกับบ้านของเรา

นอกจากนี้ในส่วนของการกั้นห้องเพิ่มสำหรับใครที่มีบ้านอยู่แล้ว ก็สามารถใช้ผนังแห้งหรือ Dry Wall รวมเข้ากับโครงยิปซั่มในข้อที่ 1 เลยก็ได้ เท่านี้ห้องใหม่ที่กั้นออกมาก็จะสามารถกันเสียงได้อย่างมีประสิทธิภาพ

สำหรับข้อมูลทั้งหมดในบทความนี้หวังว่าจะครบถ้วนชัดเจน ทั้งตัวเลขและการวัดผลต่างๆเพื่อให้ท่านสามารถนำไปประกอบการตัดสินใจในการ Renovate ต่อเติม หรือ แก้ปัญหาเสียงทะลุผนังได้นะครับ

แนะนำ 3 ปูนใหม่ จาก เอสซีจี เพื่อตอบโจทย์การใช้งาน

แนะนำ 3 ปูนใหม่ จาก เอสซีจี ที่จะมาช่วยให้งานของคุณมีความสะดวกรวดเร็วมากยิ่งขึ้น มาพร้อมกับนวัตกรรมโครงสร้างเพื่อสิ่งแวดล้อม

ปูนงานโครงสร้าง เอสซีจี สูตรไฮบริด
ปูนซีเมนต์ไฮดรอลิกชนิดใช้งานทั่วไป สูตรพิเศษ ผ่านการคิดค้นด้วยหลัก วัสดุศาสตร์ (Materials Science) และ เทคโนโลยีการผลิตบาตรฐานใหม่ (Hybrid Technology) มีส่วนประกอบของปูนเม็ด ยิปซัม ส่วนประกอบแคลเซียมและสารเพิ่ม ความแข็งแรง ให้กําลังอัดสูง โครงสร้าง ที่ได้จึงแข็งแรงทนทาน ทั้งยังเป็นปูนที่เป็น มิตรต่อสิ่งแวดล้อม

คุณสมบัติปูนงานโครงสร้าง เอสซีจี สูตรไฮบริด

  • อัด กําลังอัดสูงกว่าปูนโครงสร้างทั่วไป
  • ทน ทนต่อการขัดสี ลดโอกาสเกิดปัญหาฝุ่น และพื้นหลุดล่อน
  • ลดแตก ลดโอกาสที่พื้นผิวคอนกรีตแตกร้าวเนื่องจากการหดตัวของปูน
  • ลดพรุน คอนกรีตทึบแน่น ส่งผลให้โครงสร้างคอนกรีตแข็งแรงมากขึ้น
  • เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ใช้วัตถุดิบและกระบวนการผลิตที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม

ปูนงานโครงสร้างเอสซีจี

ปูนซีเมนต์ปอร์ตแลนด์ประเภท 1 มีคุณสมบัติ ให้กําลังอัดสูง เหมาะสําหรับงาน โครงสร้างที่ต้องการความแข็งแรงสูง อาทิ ฐานราก เสา คาน พื้น ของบ้านพัก อาศัย อาคารทั่วไป และงานโครงสร้าง ขนาดใหญ่ อาทิ อาคารสูง ถนน ทางด่วน สนามกีฬา และสนามบิน โครงสร้างที่ได้มี ความแข็งแรง ทนทาน

คุณสมบัติพิเศษปูนงานโครงสร้างเอสซีจี

  • ให้กำลังอัดสูง โครงสร้างที่ได้จึงแข็งแรงทนทาน
  • เป็นผลิตภัณฑ์ที่สามารถลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกในกระบวนการผลิต เป็นมิตรต่อสถาพภูมิอากาศ เป็นทางเลือกให้ผู้ที่ใส่ใจสิ่งแวดล้อม
  • ใช้สำหรับงานคอนกรีตอัดแรง และไม่อัดแรงได้

นวัตกรรม โครงสร้างรับกําลังอัดเร็ว

ปูนซีเมนต์ปอร์ตแลนต์ประเภn 3 มีคุณสมบัติพิเศษให้กําลังอัดสูงได้เร็ว ในช่วงต้น จึงช่วยให้การทํางานเสร็จเร็วขึ้น เหมาะสําหรับใช้ผลิตผลิตภัณฑ์คอนกรีต สําเร็จรูปชนิดอัดแรง อาทิ แฟนพื้น เสาเข็ม เสาไฟฟ้า

เครดิตข้อมูล
scgbuildingmaterials.com

โครงสร้างหลังคา ที่เราควรจะรู้จักในการสร้างบ้าน

หลังคาเป็นส่วนประกอบที่คลุมอาคารเพื่อให้เกิดพื้นที่ใช้สอย ป้องกันความร้อน ฝน จําแนกตามความลาดชันได้ สาม ประเภทคือ หลังคาเรียบ (Flat roof) หลังคาที่ลาดชัน (Sloped plane-roof) และระบบหลังคาที่ซับซ้อน (Complex roof System)

หลังคาเรียบ มักเป็นหลังคาคอนกรีต ทั้งที่เป็นพื้นชนิดวางบนคาน (แผ่นพื้นทางเดียว แผ่นพื้นสอง ทาง แผ่นพื้นตง แผ่นพื้นกระทง หรือแผ่นพื้นไร้คานแบบต่าง ๆ) จะต้องทึบน้ำ โดยผสมสารกันซึม หรือทําระบบกันซึมคลุม ผิวด้านบน อีกแบบหนึ่งเป็นหลังคาที่ใช้เหล็กแผ่นพับเป็นไม้แบบสําหรับเทคอนกรีต ความหนาของคอนกรีตและเหล็กเสริม ในพื้นคอนกรีตจะน้อยกว่าหลังคาเรียบคอนกรีตเสริมเหล็ก หลังจากคอนกรีตแข็งตัวแล้ว แผ่นเหล็กพับจะเป็นทั้งเหล็กเสริม ของพื้นหลังคา และเป็นฝ้าเพดานของชั้นที่อยู่ถัดลงมาหลังคาเรียบ เป็นที่นิยมตามบ้านแบบโมเดิร์น โดยสร้างขึ้นเพื่อเพิ่มพื้นที่ใช้สอยบนหลังคา เช่น ใช้เป็นที่พักผ่อน ตากผ้า หรือจัดสวนบนหลังคา

หลังคาลาดชัน นิยมใช้กับอาคารทั่วไปรวมทั้งโรงงานอุตสาหกรรม หลังคาชนิดนี้ประกอบไปด้วย องค์ประกอบที่สําคัญสองส่วนคือ วัสดุมุงหลังคา และ โครงหลังคา ประกอบกันเป็นรูปทรงต่าง ๆ อาทิ เพิงแหงน , ปีกผีเสื้อ , จั่ว , หรือปั้นหยา  วัสดุมุงปัจจุบันใช้กระเบื้องชนิดต่าง ๆ หรือแผ่นเหล็กพับขึ้นรูปสําเร็จ (Metal Sheet) วัสดุเหล่านี้มีคุณสมบัติ น้ำหนักต่างกัน ราคา วิธีติดตั้ง ต่างกัน  หลังคาลาดชัน ระบายความร้อนได้เป็นอย่างดี,ลดการรั่วซึมของน้ำ

ระบบหลังคาที่ซับซ้อน อาทิ หลังคาคลุมอัฒจันทร์สนามกีฬา อาคารสาธารณะขนาดใหญ่ ที่ต้องคลุมพื้นที่ใช้ สอยมาก ๆ เน้นความสวยงาม หรือเอกลักษณ์ ต้องคํานวณออกแบบ และก่อสร้างอย่างพิถีพิถัน ใช้ความชํานาญเป็นพิเศษ ราคาแพง จึงไม่เหมาะกับอาคารขนาดเล็ก หรือที่พักอาศัย ตัวอย่างรูปแบบหลังคาที่มีความซับซ้อน ได้แก่หลังคารูปทรง เรขาคณิต เช่น หลังคาแผ่น หรือเปลือกบาง  โครงหลังคาเหล่านี้อาจใช้วัสดุมุงปกติเช่น กระเบื้อง แผ่นเหล็ก วัสดุเบา โปร่งใส อาจเป็นเปลือกบางทําด้วยคอนกรีต แผ่นโลหะขึ้นรูป แผ่นวัสดุบาง

 

เครดิตรูปภาพ
www.ixl.co.th
https://www.scgbuildingmaterials.com/
https://scghome.com/

ปูนเสือ มอร์ตาร์ ปูนซีเมนต์สำเร็จรูป สูตรพิเศษเฉพาะ ที่จะช่วยบริหารเวลาการทำงาน

ปูนเสือ มอร์ตาร์ คือ ปูนคุณภาพดี ที่ผสมกับวัสดุผสมคุณภาพสูง และสารพิเศษจากเสือมอร์ตาร์ กลายเป็นปูนสำเร็จรูปเสือ มอร์ตาร์ ที่ผสมใช้นํ้าได้ทันที ลดพื้นที่กองเก็บทราย เพิ่มประสิทธิภาพให้กับงานก่อสร้าง ได้งานที่เสร็จไว สวยสมบูรณ์แบบ ที่จะช่วยให้ช่างบริหารเวลาการทำงานได้ดียิ่งขึ้น บริหารทั้งเวลา ฝีมือแรงงาน และบริหารงบประมาณ ซึ่งผลิตภัณฑ์เสือมอร์ตาร์จะสามารถตอบโจทย์งานปูนที่หลากหลาย ทั้งงานปูนก่อทั่วไป ฉาบทั่วไป ก่ออิฐมวลเบา และฉาบอิฐมวลเบา

เหตุผลที่ต้องเลือกเสือ มอร์ตาร์
• ควบคุมคุณภาพได้อย่างดีเยี่ยม ด้วยเทคโนโลยีการคัดเลือก และการคัดสรรวัสดุผสมจากโรงงาน ให้คุณพร้อมใช้ เพื่อลดปัญหาทรายที่สกปรก และการผสมที่ผิดสัดส่วน
• สะดวกใช้ได้เลย เพียงฉีกถุงผสมนํ้าก็สามารถใช้ได้ทันที ไม่ต้องผสมทราย หรือสารเคมีอื่น
• บริหารจัดการไซต์งาน ไซต์งานสะอาดจากการไม่ต้องกองเก็บทราย ลดการสูญเสียทราย และวัสดุผสม
• ทำงานไว ช่วยประหยัดเวลาทั้งเวลาขน และเวลาผสมทราย ไม่ต้องร่อนทราย ทำให้ทำงานเสร็จได้ไวยิ่งขึ้น
• สูตรพิเศษเฉพาะ ป้องกันปัญหาแตกร้าวได้ดีขึ้น และลดปัญหาผนังหลุดล่อน รวมถึงสารเคมีพิเศษเพื่อให้เหมาะกับแต่ละงาน
• สวยสมบูรณ์แบบ ทั้งงานก่อที่แข็งแกร่ง แน่นปึ้ก และงานฉาบ ที่ผิวเรียบเนียนสวย รวมถึงงานเท ที่แน่น ทน แกร่ง

เสือมอร์ตาร์ ก่อทั่วไป สำหรับอิฐมอญ อิฐบล็อก
คุณสมบัติ มีสารอุ้มนํ้า เพิ่มแรงยึดเกาะอิฐได้ดีขึ้น 3 เท่า และ มาตรฐานมอก. 598-2547
พื้นที่การใช้งาน (มวลสุทธิ 50 กก. ต่อนํ้า 7-9 ลิตร)
ก่ออิฐมอญครึ่งแผ่น ที่ความหนา 1 ซม. ก่อได้ประมาณ 1.3-1.5 ตร.ม.
ก่ออิฐบล็อก ที่ความหนา 1-2 ซม. ได้พื้นที่ประมาณ 2.5-2.8 ตร.ม.

เสือมอร์ตาร์ ฉาบทั่วไป สำหรับอิฐมอญ อิฐบล็อก
คุณสมบัติ มีสารอุ้มนํ้า เพิ่มฟองอากาศ เพิ่มแรงยึดเกาะ แห้งในเวลาที่เหมาะสม ฉาบลื่น ผสมไว และ มาตรฐานมอก. 1776-2542
พื้นที่การใช้งาน (มวลสุทธิ 50 กก. ต่อนํ้า 9-11 ลิตร)
ความหนา 1 ซม. ฉาบได้ 2.5-2.6 ตร.ม.
ความหนา 1.5 ซม. ฉาบได้ 1.6-1.7 ตร.ม.

เสือมอร์ตาร์ ก่ออิฐมวลเบา
คุณสมบัติ มีสารอุ้มนํ้า เพิ่มแรงยึดเกาะ พื้นที่การใช้งาน (มวลสุทธิ 50 กก. ต่อนํ้า 13.0-15.5 ลิตร)
ก่ออิฐมวลเบาขนาดมาตรฐาน 7 ซม. ที่ความหนา 2-3 มม.
ก่อได้ประมาณ 25-30 ตร.ม. มวลสุทธิ 50 กก.

เสือมอร์ตาร์ ฉาบอิฐมวลเบา
คุณสมบัติ มีสารอุ้มนํ้า เพิ่มฟองอากาศ เพิ่มแรงยึดเกาะ แห้งในเวลาที่เหมาะสม ใช้ได้กับเครื่องพ่นปูน ฉาบ และฉาบได้พื้นที่มากกว่า 10% พื้นที่การใช้งาน (มวลสุทธิ 50 กก. ต่อนํ้า 10 – 12 ลิตร)
ความหนา 0.5 ซม. ฉาบได้ 5.0-5.5 ตร.ม.
ความหนา1.0 ซม. ฉาบได้ 2.6-2.8 ตร.ม.

เครดิตข้อมูลและภาพ
https://www.tigerbrandth.com/

ชนิดและคุณสมบัติของปูนซีเมนต์

ซีเมนต์ตามความหมายทางวิศวกรรมโยธาแบ่งออกเป็น ๒ ชนิด คือ บิทูมินัส (Bituminous) และ นันบิทูมินัส (Non Bituminous) บิทูมินัสซีเมนต์ ได้แก่ ยางมะตอย (Asphalts) และนำมันดิน (Tars) เราใช้บิทูมินัสซีเมนต์ผสมกับหิน ทราย ราดทำผิวถนน และเรียกส่วนผสมนี้ว่า แอสฟัลต์คอนกรีต (Asphalt Concrete)

นันบิทูมินัสซีเมนต์ ได้แก่ อะลูมินาซีเมนต์ (Alumina Cement) และปูนซีเมนต์ปอร์ตแลนด์ (Portland Cement) มีลักษณะเป็นผงสีเทาอ่อนต้องผสมน้ำในปริมาณมากพอสมควร แล้วทิ้งไว้ให้แห้งจึงจะแข็งตัว เรามักจะนิยมเรียกซีเมนต์ชนิดนี้ว่า ไฮดรอลิกซีเมนต์ (Hydraulic Cement) ทั้งนี้ เพราะต้องใช้น้ำผสม และแข็งตัวในน้ำได้ ดังนั้น ปูนซีเมนต์ปอร์ตแลนด์จึงเป็นที่นิยมใช้ในการก่อสร้างมากที่สุด ในที่นี้จะกล่าวถึงชนิดและคุณสมบัติของปูนซีเมนต์ปอร์ตแลนด์

ปูนซีเมนต์ปอร์ตแลนด์ แบ่งเป็น ๕ ประเภท ดังนี้

ประเภทที่หนึ่ง

เหมาะสำหรับงานก่อสร้างทั่วไป ส่วนใหญ่ จะนำไปใช้กับงานคอนกรีตเสริมเหล็ก เช่น ทำผิวถนน สะพาน ท่อระบายน้ำ เป็นต้น ปูน ซีเมนต์ประเภทนี้มีข้อเสียคือ ไม่ทนต่อสารที่เป็น ด่าง จึงไม่เหมาะสมกับงานที่ต้องสัมผัสกับด่าง จากดินหรือน้ำ เช่น โรงงานอุตสาหกรรมเคมี

ประเภทที่สอง

ปูนซีเมนต์ประเภทนี้ เมื่อผสมกับน้ำจะคายความร้อนออกมาน้อยกว่าประเภทธรรมดา และมีความต้านทานต่อสารที่เป็นด่างได้บ้าง เหมาะ สำหรับงานโครงสร้างขนาดใหญ่ อาทิเช่น ตอม่อ ขนาดใหญ่ สะพานเทียบเรือ เขื่อนหรือกำแพง กันดินในบริเวณที่ถูกน้ำเค็มเป็นครั้งคราว

ประเภทที่สาม

ปูนซีเมนต์ปอร์ตแลนด์ประเภทนี้ มีความ ละเอียดมากกว่า เป็นผลทำให้แข็งตัว และรับแรงได้เร็วกว่าปูนซีเมนต์ประเภทที่หนึ่ง จึงนิยมนำไปใช้กับงานเร่งด่วน ที่ต้องแข่งกับเวลา หรือในกรณีที่ต้องการถอดหรือรื้อแบบเร็วกว่าปกติ

ประเภทที่สี่

เหมาะกับงานที่ต้องการควบคุมทั้งปริมาณ และอัตราความร้อนที่เกิดขึ้นให้น้อยที่สุด การเกิดกำลังของคอนกรีตที่มีส่วนผสมของปูนซีเมนต์ ประเภทนี้จะเป็นไปอย่างช้าๆ จึงนิยมใช้กับงาน ขนาดใหญ่ เช่น เขื่อนกั้นน้ำ ซึ่งถ้ามีความร้อน อย่างร้ายแรงต่อตัวเขื่อน เนื่องจากจะทำให้เกิด การแตกหรือร้าวได้

ประเภทที่ห้า

มีคุณสมบัติในการต้านทานต่อสารที่เป็นด่างได้สูง จึงเหมาะที่จะใช้กับงานก่อสร้างในบริเวณ ที่ต้องสัมผัสกับด่าง เช่น ในบริเวณที่ดินมีความ เป็นด่างสูง หรือน้ำทะเล ระยะเวลาในการแข็งตัวของปูนซีเมนต์ประเภทนี้ จะช้ากว่าประเภท อื่นๆ

นอกจากปูนซีเมนต์ปอร์ตแลนด์แล้ว ยังมี ปูนซีเมนต์ชนิดอื่นที่น่าสนใจดังต่อไปนี้

1. ปูนซีเมนต์ผสม (Mixed Cement)

ได้จากการบดปูนเม็ดกับยิปซัม และวัสดุเฉื่อย ซึ่งไม่ทำปฏิกิริยาทางเคมีกับปูนซีเมนต์ เช่น หินปูนหรือทราย เป็นต้น ปูนซีเมนต์ผสม เหมาะกับงานก่อ โบก ฉาบ หรืองานก่อสร้างทั่วไป ที่ไม่ต้องการรับน้ำหนักมาก

2. ปูนซีเมนต์ขาว (White Portland Cement)

วัตถุดิบหลักคือ หินปูน และวัตถุดิบอื่น ที่มีปริมาณของแร่เหล็กน้อยกว่า ๑% ลักษณะของปูนซีเมนต์ที่ได้เป็นสีขาว ปูนซีเมนต์ขาวเป็นที่นิยมใช้ในงานตกแต่งอาคาร เพื่อความสวยงาม หรือนำไปผสมเม็ดสี (Pigment) เพื่อผลิตเป็น ปูนซีเมนต์สี (Colour Cement)

 

เครดิตข้อมูล
http://saranukromthai.or.th/

รู้จัก ประตูPVC และ ประตูuPVC

ประตูทั้ง 2 แบบนี้ หลายคนอาจคิดว่ามีความคล้ายคลึงกันอยู่บ้าง แต่แท้จริงแล้ววัสดุทั้ง 2 ประเภทมีคุณสมบัติที่ไม่เหมือนกันอยู่หลายจุด

ประตู uPVC
ผลิตโดยมีแกนภายในที่ทำจากไม้ วัสดุPVC หรือวัสดุชนิดอื่นตามแต่เลือกใช้ แล้วประกบด้วยบานประตู uPVC ทั้งสองด้าน จากนั้นนำ PVC มาติดเป็นขอบด้านข้าง ข้อดีของประตู uPVC คือ บริเวณผิวหน้าจะทนแดดทนน้ำ สามารถกันรอยขูดขีดได้ดี เพราะด้านในเป็นสีเดียวกับเนื้อ วัสดุ ลักษณะภายนอกมีผิวมันเงา โดยทั่วไปจะมีสีขาวดูสะอาดตา มักถูกนำไปตกแต่งใช้งานทำเป็นประตูห้องน้ำเพื่อกันน้ำ หรือใช้เป็นประตูภายนอกบ้านเพื่อกันความร้อนของแสงแดด

ประตู PVC
ผลิตโดยใช้ส่วนผสมของสารชนิดอื่นมาเพิ่มคุณสมบัติให้สามารถขึ้นรูปได้ดีขึ้น มีความยืดหยุ่นสูง จึงเป็นที่นิยมกันกว้างขวางและพบได้ทั่วไป ลักษณะทางกายภาพจะมีความหนาของโครงสร้างภายในบานประตูประมาณ 0.5-1 มม. ซึ่งหากมีความบางมากจะทำให้แตกหักได้ง่าย จึงมีการเสริมคิ้วขอบเพื่อให้ดูแข็งแรงขึ้น อย่างไรก็ตามข้อเสียคือไม่ทนทาน มีอายุใช้งานสั้น จึงเหมาะกับงานที่ใช้เพียงชั่วคราว หรือไม่เน้นความแข็งแรงมากนัก วัสดุที่ใช้สร้างอาคารบ้านเรือน เช่น รั้ว กรอบประตู-หน้าต่าง พื้น กระเบื้องยาง ท่อน้ำ ฉนวนหุ้มสายไฟ-สายโทรศัพท์

ประตู uPVC เป็นประตูที่มีความทนทานสามารถใช้งานได้ดี หาซื้อได้ง่าย ราคาถูก และยังทนทานต่อทุกสภาพอากาศ หากเลือกพิจารณานำไปใช้งานให้ถูกต้องเหมาะสมจะช่วยให้ประหยัดเวลา สามารถเป็นทางเลือกหนึ่งสำหรับการตกแต่งสร้างความสวยงามให้บ้านของท่านได้เป็นอย่างดี

เครดิตข้อมูล
https://www.baania.com/

ใช้ปูนกาวซีเมนต์ยี่ห้อไหนดี

ปูนกาวปูกระเบื้องมีมากมายหลายแบรนด์หลายยี่ห้อ และแต่ละแบรนด์ก็มีหลายเกรดหลายราคา ขึ้นอยู่กับจุดประสงค์ในการใช้งาน ไม่ว่าจะเป็นปูกระเบื้อง ปูกระเบื้องแกรนิตโต้ ปูกระเบื้องห้องน้ำ ปูผนัง หรือปูทับกระเบื้องเก่า ก็จะใช้ปูนกาวเกรดพรีเมี่ยมที่เราไม่ต้องเลาะกระเบื้องเก่าออก และสามารถปูทับกระเบื้องเก่าได้เลย แต่ปูนกาวเกรดพรีเมี่ยมนี้จะราคาแพงกว่าปูนกาวที่ใช้ปูกระเบื้องทั่วไป

เครดิตรูปภาพ https://www.builk.com/

ปูนกาวซีเมนต์ปูกระเบื้องมีหลายยี่ห้อหลายแบรนด์ เช่น

  • ปูนกาวตราจระเข้
  • ปูนกาวตราตุ๊กแก (หรือปูนกาวเวเบอร์)
  • ปูนกาวตราเสือ
  • ปูนกาวตราทีพีไอ
  • ปูนกาวตราเดฟโก้

ปูนกาวปูกระเบื้อง ก็คือ ปูนกาวซีเมนต์เอาไว้ติดกระเบื้องหรือปูกระเบื้อง การก่อสร้างบ้านสมัยก่อนไม่มีปูนแบบนี้ ช่างเขาก็เอาปูนก่อ-ฉาบนี่แหละใช้ปูกระเบื้อง ถ้าเป็นกระเบื้องพื้นก็ใช้ปูนผสมทราย ถ้าเป็นปูนผนังก็ใช้ปูนเค็ม (ปูนซีเมนต์ผสมน้ำไม่ผสมทราย)

ปัจจุบันมีการผลิตปูนกาวซีเมนต์สำหรับปูกระเบื้อง ฉีกถุงแล้วผสมน้ำให้ปูนกาวมันเหนียว ๆ ก็ใช้ได้เลย กระเบื้องก็ติดทนนาน สวยงาม

ถ้าถามว่าปูนกาวซีเมนต์หรือปูนกาวปูกระเบื้องยี่ห้อไหนดี แต่ละยี่ห้อ ก็จะมีสูตรของตัวเอง ผสมกาวให้มันเหนียว ๆ กว่ากัน สูตรใครสูตรมัน หรือปูนกาวที่สามารถปูทับกระเบื้องเก่าได้ ก็แค่เพิ่มกาวเหนียว ๆ ให้มากกว่าเดิม แล้วตั้งราคาขายให้แพงกว่าปูนกาวปูกระเบื้อง ถ้าถามช่างแต่ละคนก็ตอบไม่เหมือนกัน แล้วแต่ช่างจะติดยี่ห้อไหน ถ้าเป็นช่างชาวบ้านต่างจังหวัดทั่วไปจะติดปูนกาวตราเวเบอร์ ซะมากกว่า เพราะถุงสีสันสวยงามกวายี่ห้ออื่น แต่ถ้าเป็นช่างมาจากกรุงเทพจะติดปูนกาวตราจระเข้มากกว่า

ส่วนเราควรจะเลือกใช้ปูนกาวซีเมนต์ยี่ห้อไหนดี  ปูนกาวแต่ละยี้ห้อมีลักษณะคล้ายกัน ขึ้นอยู่กับความถนัดของช่างแต่ละคนในการผสมสูตร  ส่วนถ้าเราจะซื้อมาใช้เอง แนะนำให้เลือกตามวัตถุประสงค์การใช้งานและถามทางร้านขายปูนกาวซีเมนต์ในวัตถุประสงค์ที่เราต้องการใช้ จะได้ตรงกับสิ่งที่เราต้องการ

เครดิตรูปภาพ;https://tsksuphan.com/

การเลือกซื้อเหล็กข้ออ้อย

เหล็กเส้น หรือ เหล็กเสริม คือ วัสดุสำหรับใช้งานคอนกรีตเสริมเหล็กและงานก่ออิฐทั่วไป โดยใช้ในการเพิ่มความสามารถในการรับแรงกับโครงสร้าง
โดยทั่วไปจะแบ่งเหล็กเส้นเป็น 2 ประเภท คือ
1.เหล็กกลมผิวเรียบ SR24 มีกำลังรับแรงดึงที่จุดครากไม่น้อยกว่า 2400 ksc มีขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางขนาดต่าง ๆ เช่น RB6 RB9 RB12 RB15 เนื่องจากผิวเหล็กที่มีลักษณะกลมเรียบ จึงทำให้แรงยึดเหนี่ยวระหว่างผิวเหล็กกับผิวคอนกรีตไม่ดีจึงต้องมีการงอขอเพื่อให้สามารถถ่ายเทแรงได้อย่างมีประสิทธิภาพ
2.เหล็กข้ออ้อย SD30 SD40 SD50 มีกำลังรับแรงดึงที่จุดครากไม่น้อยกว่า 3000 4000 5000 ksc ตามลำดับ โดยปกติจะมีขนาดเส้นผ่านศูนย์กลาง เช่น DB10 DB12 DB16 ผิวของเหล็กเส้นจะมีขนาดเป็นปล้อง เพื่อเพิ่มแรงยึดเหนี่ยวให้เหล็กกับคอนกรีตมากขึ้น

การเลือกใช้ชนิดของเหล็กเส้นข้ออ้อย SD30 , SD40 และ SD50 ขึ้นอยู่กับชนิดของโครงสร้างเป็นสำคัญ ลักษณะของเหล็กเส้นข้ออ้อยที่ดี ต้องมีระยะบั้งที่เท่ากันและสม่ำเสมอตลอดทั้งเส้น ไม่มีสนิมรอยตำหนิ ไม่มีรอยปริหรือแตกร้าว ความยาวโดยปกติที่ขายกันตามท้องตลาด คือ 10 เมตร หรืออาจสั่งพิเศษ เช่น 12 เมตร หรือมากกว่านั้นก็ต้องสั่งทำพิเศษ

ประโยชน์ของเหล็กข้ออ้อย
ใช้ในการก่อสร้างโครงสร้างเสริมเหล็กคอนกรีต ในการก่อสร้างแต่ละครั้ง ต้องมีการใช้งานควบคู่กับเหล็กเส้นกลมด้วย โดยทั้งนี้และทั้งนั้นขึ้นอยู่กับดุลยพินิจของวิศวกรประจำโครงการด้วย แต่โดยส่วนมากจะใช้เหล็กข้ออ้อยเป็นหลัก เพราะรับแรงได้ดีกว่าเหล็กเส้นกลม
เหล็กข้ออ้อย เป็นเหล็กที่มีแรงยึดเกาะที่ผิวสูง เหมาะสำหรับงานคอนกรีตเสริมเหล็ก ที่ต้องการความแข็งแรงสูง เช่น เขื่อน , สะพาน , หรืองานก่อสร้างใด ๆ ที่ต้องรองรับแรงอัดมาก ๆ และตึกที่มีความสูงมาก ๆ

การเลือกซื้อเหล็กข้ออ้อยที่ดีดูได้จากอะไรบ้าง

  • เครื่องหมาย มอก.
  • ขนาด
  • ความยาว
  • บริษัท ผู้ผลิต ประเภทสินค้า
  • ชั้นคุณภาพ
  • วันเวลาที่ผลิต

ขั้นตอนการผลิตเหล็กข้ออ้อย
การผลิตเหล็กข้ออ้อยในปัจจุบันนั้น ต้องเป็นไปตามมาตรฐานการบังคับ มอก.24-2548 ซึ่งเป็นการปรับปรุงคุณภาพการผลิตมาจาก มอก.24-2536 ประการสำคัญของการเปลี่ยนแปลงนี้คือ อนุญาตให้มีการผลิตโดยผ่านกรรมวิธีทางความร้อน โดยผู้ผลิตจะต้องทำสัญลักษณ์ “T” ประทับเป็นตัวนูนบนเนื้อเหล็ก เป็นการถาวรต่อจากชั้นคุณภาพเหล็ก

ประเภทของเหล็กแบ่งตามชั้นคุณภาพของเหล็ก ดังนี้
SD30 คือ เหล็กที่ต้องมีกำลังจุดคลากไม่ต่ำกว่า 3,000 กิโลกรัม/ตารางเซนติเมตร
SD40 คือ เหล็กที่ต้องมีกำลังจุดคลากไม่ต่ำกว่า 4,000 กิโลกรัม/ตารางเซนติเมตร
SD50 คือ เหล็กที่ต้องมีกำลังจุดคลากไม่ต่ำกว่า 5,000 กิโลกรัม/ตารางเซนติเมตร

การป้องกันสัตว์มีพิษเข้าบ้าน ช่วงหน้าฝน

ช่วงหน้าฝนแบบนี้ สัตว์มีพิษส่วนใหญ่ จะต้องการหาที่หลบภัยและ หลบฝน ยิ่งสถานที่ไหนมีน้ำท่วมด้วยแล้วก็ ควรระวังอย่างยิ่ง เพราะสัตว์มีพิษจะต้องหาที่อยู่และหลบน้ำ บ้านจึงเป็นทางเลือกอีกทางเลือกหนึ่ง ที่สัตว์มีพิษจะเข้ามาหลบ เพราะเป็นที่หลบฝน หลบน้ำได้ดี ดังนั้นเราเป็นเจ้าของบ้านควร หาวิธีป้องกันภัยอันตรายจากสัตว์มีพิษ ให้ดี

การป้องกันสัตว์มีพิษเข้าบ้าน ช่วงหน้าฝน

1.ทำความสะอาดรอบบ้าน
การทำความสะอาดบ้าน เป็นเรื่องพื้นฐานเริ่มต้น และช่วยป้องกัน สัตว์มีพิษ​ เข้ามาในบ้านได้อย่างง่ายๆ แถมยังทำให้บ้านที่เราอยู่อาศัยมีสุขลักษณะที่ดี เป็นระเบียบน่าอยู่อาศัยด้วย

2.ตรวจเช็คจุดอับของบ้าน
จุดอับ จุดลับตาที่เราไม่ค่อย ได้สังเกตุ จึงเป็นที่อยู่อาศัยที่ดีสำหรับสัตว์มีพิษที่ไม่ต้องการสิ่งรบกวน เราควรมั่นตรวจสอบดูแลทำความสะอาดให้ดี

3.ปิดจุดแตกร้าวของผนังบ้าน-รูโหว่ รอบบ้าน
บ้านใครมีรอยร้าวหรือ-รูโหว่ เป็นช่องทางที่สัตว์มีพิษจะเข้าบ้าน และ อาศัยเป็นที่อยู่ เราควรจัดการรอยแตกรอยร้าวให้เรียบร้อย

4.ตัดแต่ง-ดูแลกระถางต้นไม้
ตัดแต่งต้นไม้ ให้เป็นระเบียบ ไม่ให้รกหูรกตา หรืออาจจะตัด ไม่ให้ต้นไม้ กิ่งไม้เข้ามาบ้าน ซึ่งจะเป็นการช่วยให้ดูสะอาดและไม่เป็นช่องทางที่สัตว์จะเข้ามาด้วย

5.เลี้ยงสัตว์เลี้ยง
การเลี้ยงสัตว์ นอกจากจะมีความสุขทางใจ และมีสัตว์เลี้ยงเป็นเพื่อนเล่นแล้ว สัตว์บางชนิด ยังมีประโยชน์ในการป้องกันสัตว์มีพิษเข้าบ้านได้อีกต่างหาก เช่น ไก่ จะกำจัดตะขาบ เมื่อพบเห็น เพราะตะขาบคืออาหารอันแสนอร่อยของไก่ หรือแม้แต่สุนัข อาจจะไม่ได้กินหรือกัดสัตว์มีพิษแต่ก็มักจะเป็นหน่วยเตือนภัยสัตว์เหล่านั้นได้เป็นอย่างดี เพราะสุนัขเจอสัตว์พิษ ก็จะเห่าส่งสัญญาณเตือนภัยให้เราได้รู้ล่วงหน้าเสมอ

6.ติดตาข่ายมุ้งลวด ทำรั้วทึบ
การติดตาข่ายมุ้งลวด ทำรั้วทึบ เป็นสิ่งที่จะช่วยไม่ให้สัตว์มีพิษเข้าบ้าน เราได้ดี แต่เราควรมั่นตรวจสอบ เสมอ เพื่อไม่ให้เกิดรอยขาดรอยรั้ว ต่างๆ ป้องกันสัตว์มีพิษเข้าบ้าน

7.ใช้สารเคมีโรยรอบบ้าน
สารเคมี ควรจะเป็นสิ่งสุดท้าย ที่ใช้สำหรับโรยรอบบ้าน ยิ่งเฉพาะบ้านไหนมีเด็กอ่อนหรือสัตว์เลี้ยง ควรใช้อย่างระมัดระวัง

 

เครดิตข้อมูล และ รูปภาพ
https://www.reviewyourliving.com/
https://thethaiger.com/
https://www.terminix.com/
homepro.co.th/