อีกหนึ่งปัญหาของคนที่อยู่บ้านมาจะเจอเหมือนกันนั่นคือ เรื่องปัญหาความร้อนในบ้าน ซึ่งเมื่อพูดถึงปัญหาความร้อนในบ้านสิ่งที่จะตามมานั่นคือ ฉนวนกันความร้อน พอพูดถึงฉนวนกันความร้อนก็จะเกิดความสับสนขึ้นระหว่าง PU โฟม และ PE โฟม ว่ามันต่างกันอย่างไร? ต้องเลือก PE หรือ PU ถึงจะเหมาะกับบ้านของเรา
เมื่อพูดถึงฉนวนกันความร้อนสิ่งหนึ่งที่จะตามมานั่นคือหลังคาเมทัลชีท เพราะเป็นหลังคาที่แปะติดตัวฉนวนกันความร้อนมาในตัว สามารถหาซื้อได้ง่ายและเป็นที่นิยมในตลาด ดังนั้นในบทความนี้ผมจะขอพูดถึงตัวฉนวน PE และ PU ที่ติดอยู่กับหลังคาเมทัลชีทเท่านั้น ว่าทั้ง 2 ชนิดนี้ต่างกันอย่างไร เลือกใช้อย่างไร
ฉนวน PE Foam
ฉนวน PE หรือ Polyethylene ลักษณะภายนอกจะเป็นแผ่นโฟมบาง ๆ หุ้มด้วยฟอยล์ทั้ง 2 ชั้น ซึ่งในการทำจะเป็นการขึ้นรูปโฟมแล้วรีดติดลอนมา การรีดลอนก็จะเป็นการใช้โฟมทาลงไปที่ตัวลอนแล้วติด PE ทับด้านบน
เรามักจะเห็นโฟมชนิดนี้ได้ตามโรงงานใหญ่ ๆ ที่ถูกสร้างมานาน ห้างสรรพสินค้าที่อยู่มานานแล้ว เนื่องจากเมื่อประมาณ 5-10 ปีก่อน ฉนวนชนิด PE เป็นโฟมชนิดเดียวที่อยู่ในตลาดราคาไม่สูงและสามารถติดตั้งได้ง่าย ส่วนโฟม PU ก็มีอยู่น้อยส่วนที่มีก็ราคาค่อนข้างสูงเนื่องจากเป็นนวัตกรรมใหม่
ข้อดีของ PE Foam คือ น้ำหนักเบา กันความร้อนได้ระดับหนึ่ง งานและติดตั้งง่าย แล้วที่สำคัญคือราคาค่อนข้างถูก แต่ก็จะมีข้อด้อยอยู่ตรงที่อายุการใช้งาน เพราะเมื่อใช้งานไปประมาณ 3-5 ปีจะเกิดปัญหากาวหลุดร่อน ทำให้ตัวโฟมหลุดร่อนออกมาเป็นแผ่น ๆ ส่งผลให้จะต้องทำการซ่อมแซมหรือเปลี่ยนฉนวนบ่อย ๆ
ฉนวน PU Foam
ฉนวน PU หรือที่ย่อมาจาก Polyurethane Foam ซึ่งผลิตโดยการฉีดสารโพลิเมอร์ออกมา แล้วขยายตัวให้กลายเป็นโฟมเนื้อละเอียดสีเหลือง ๆ ฉีดออกไม้ให้หนาติดกับตัวหลังคาเมทัลชีท แล้วทำการปิดแผ่นฟอยล์ทับด้านหนึ่ง
คุณสมบัติการเป็นฉนวนหรือการกันความร้อนดีกว่า PE ค่อนข้างเยอะ แทบจะเป็นฉนวนที่ดีที่สุดสำหรับหลังคาเมทัลชีทในปัจจุบัน
โดยการใช้งานจะแบ่งเป็น 2 แบบหลัก ๆ
แบบแรกคือการฉีดติดเข้าไปกับหลังคาเมทัลชีทอย่างที่กล่าวไปตอนต้นและอีกแบบคือการฉีดโฟมคลุมไปกับหลังคาเก่า ซึ่งไม่ว่าจะเป็นรูปแบบงานแบบไหนก็เป็นงาน PU เช่นเดียวกัน ที่สำคัญที่สุดคือราคาของโฟมแบบ PU ถูกลงกว่าสมัยก่อนที่เพิ่งเริ่มผลิตเป็นอย่างมาก โดยเมื่อก่อนอาจจะตารางเมตรละเกือบ 1,000 แต่ปัจจุบันเหลือเพียงตารางเมตรละ 100 กว่าบาทถึง 200 เท่านั้นเอง
แม้ราคาจะยังสูงกว่าแบบ PE แต่ด้วยคุณสมบัติที่สูงกว่าจึงทำให้ปัจจุบันการใช้ฉนวนแบบ PU แพร่หลายและเป็นที่นิยมมากยิ่งขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งงานบ้าน งานโรงรถหรืองานที่ไม่ได้มีขนาดใหญ่มากการใช้ PU ก็เหมาะสมแก่ราคา แต่หากเป็นงานที่มีขนาดงานค่อนข้างมาก พื้นที่เยอะ ๆ เช่น หลังคาโรงงาน หรือหลังคาห้างสรรพสินค้า ก็อาจจะไม่ได้ต้องการฉนวนระดับ PU ซึ่งจะทำให้งบประมาณค่อนข้างสูง แต่ใช้ฉนวนแบบ PE ก็เพียงพอต่อการใช้งานและงบประมาณก็ไม่ได้สูงจนเกินไป
ดังนั้นทั้ง PE และ PU ในปัจจุบัน ยังสามารถใช้ได้ทั้ง 2 ชนิด เพียงแต่จะต้องดูให้ดีว่าการใช้งานเหมาะกับฉนวนชนิดไหน ไม่มากก็อาจใช้ PU แต่หากเป็นงานใหญ่เนื้อที่เยอะ ใช่แค่ PE ก็พอแล้ว
ทั้งหมดนี้คือความแตกต่างและความเหมาะสมในการใช้งานของฉนวนทั้ง 2 ประเภท สามารถเลือกใช้ตามความเหมาะสมในงานของคุณได้เลย